โนโรไวรัส (Norovirus Infection) คืออะไร ?
โรคติดเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus Infection) เป็นเชื้อก่อโรคที่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โดยทั่วไปอาการเจ็บป่วยจากโรคจะหายเองได้แต่ก็อาจจะทำให้เกิดอาการรุนแรงจนทำให้เกิดการเสียชีวิตได้โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โนโรไวรัสยังสามารถทนอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน ผู้ติดเชื้อมีการขับเชื้อ(Viral Shedding) ทางอุจจาระได้เป็นเวลานาน 2-3 สัปดาห์ จึงทำให้เกิดการติดต่อระบาดได้ง่าย มีการแปรผันทางพันธุกรรมอย่างรวดเร็ว และยังไม่มียารักษาเฉพาะหรือวัคซีนสำหรับป้องกัน
สารบัญ โรคติดเชื้อโนโรไวรัส
รู้จักเชื้อโนโรไวรัส Norovirus
อาการเจ็บป่วยจากโนโรไวรัสถูกเรียกว่า “โรคอาเจียนฤดูหนาว” (Winter Vomitting Disease) เนื่องจากพบการเจ็บป่วยได้บ่อยในฤดูหนาวและอาการนำเด่น คือ อาเจียน
การติดต่อของเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus Infection)
การติดต่อของไวรัสเริ่มจากเชื้อออกมากับอุจจาระแล้วปนเปื้อนมาสู่อาหารและถูกรับประทานเข้าสู่ร่างกายเกิดการกระจายสู่บุคคลอื่น (Fecal-Oral Route) เป็นการติดต่อหลัก โดยผ่านจากมือของผู้ป่วยที่ล้างไม่สะอาดมาสัมผัสพื้นผิววัตถุหรืออาหาร
นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อทางอื่น ได้แก่ ติดต่อผ่านละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 10 ไมโครเมตร ที่เกิดจากการอาเจียนผ่านอากาศ (Airborne Transmission) ไวรัสจึงสามารถติดต่อได้ทั้งจากคนสู่คน ติดต่อทางอาหาร ทางน้ำดื่มน้ำใช้ และติดต่อผ่านสิ่งแวดล้อม
ข้อควรรู้ : อาหารที่เป็นแหล่งของการระบาดมักเป็นอาหารที่ต้องสัมผัสกับมือและไม่ได้ทำให้สุกร้อนก่อนรับประทาน เช่น แซนด์วิช สลัด อาหารกลุ่มอื่นที่พบได้บ่อย เช่น หอยนางรมที่เก็บมาจากแหล่งน้ำที่มีไวรัสปนเปื้อน
ระยะฟักตัวเชื้อโนโรไวรัส
ระยะฟักตัวของโรคอยู่ที่ 24-48 ชั่วโมง ตรวจพบเชื้อในอุจจาระได้มากที่สุดช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ และร้อยละ 25 ยังพบเชื้อในอุจจาระได้ที่ 3 สัปดาห์หลังจากมีอาการ และหากเกิดโรคในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องสามารถตรวจพบเชื้อได้นานหลายเดือน
สาเหตุที่ทำให้เชื้อโนโรไวรัส (Norovirus Infection) ระบาด
สาเหตุที่ทำให้การระบาดของเชื้อได้ง่าย คือ
- การแพร่เชื้อที่สามารถเกิดขึ้นได้แม้มีเชื้อปริมาณน้อยกว่า 100 viral particles
- ความทนทานของเชื้อต่ออุณหภูมิตั้งแต่ 0-60 องศาเซลเซียส
- เชื้อทนต่อสารฆ่าเชื้อมาตรฐาน เช่น แอลกอฮอลล์และคลอรีน
เช็กอาการต้องสงสัยติดเชื้อ Norovirus
อาการทางคลินิก
- การติดเชื้อโดยไม่มีอาการแต่พบเชื้อโนโรไวรัสในอุจจาระ ส่วนใหญ่พบในเด็กตั้งแต่ร้อยละ 11-50 ส่วนในผู้ใหญ่พบได้ร้อยละ 1-3
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดเกร็งท้องมาก่อน ตามมาด้วยอาเจียนเด่น ร้อยละ 25-80 และถ่ายเหลวร้อยละ 66-88 ซึ่งอาจจะมีเพียงอาการอาเจียนหรือถ่ายเหลวอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ลักษณะของอุจจาระเป็นน้ำ ไม่มีเลือดปน ปริมาณ 4-8 ครั้งใน 24 ชั่วโมง
- อาการร่วม ได้แก่ มีไข้ พบได้ร้อยละ 50 ของผู้ป่วย และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
ทั้งนี้อาการของโรคเป็นได้นาน 1-3 วัน ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอื่นที่ไม่ได้พบบ่อยร่วมด้วย เช่น คอแข็ง ตาสู้แสงไม่ได้ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ภาวะลิ่มเลือดแพร่กระจายในหลอดเลือด (Disseminated Intravascular Coagulation) และภาวะหายใจล้มเหลว
การตรวจวินิจฉัยโรค
- ควรสงสัยภาวะการติดเชื้อนี้กรณีที่มีการระบาดของภาวะอุจจาระร่วงเฉียบพลันที่ตรวจไม่พบสาเหตุจากการเพาะเชื้อทั่วไป ร่วมกับมีอาการอาเจียนเด่น มีระยะฟักตัวเข้าได้
- การตรวจยืนยันการติดเชื้อโนโรไวรัสคือ RT-PCR(real time polymerase chain reaction)จากอุจจาระซึ่งเป็นการตรวจมาตรฐาน ส่วนการตรวจอีกวิธีคือ การตรวจทางภูมิคุ้มกันวิทยา Enzyme immunoassays และ immunochromatography ซึ่งเป็นการตรวจ antigen ของเชื้อโนโรไวรัส ซึ่งมีความไวต่ำกว่า RT-PCR
การวินิจฉัยการติดเชื้อ Norovirus แยกจากการติดเชื้อ Rotavirus โดยใช้อาการ ทำได้ยากเนื่องจากอาการคล้ายกัน ถ้าต้องการแยกโรค มีความจำเป็นต้องใช้ RT-PCR ในการระบุชนิดของเชื้อไวรัส
แนวทางการรักษา-ป้องกัน โรคติดเชื้อโนโรไวรัส
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพชัดเจน การรักษาหลัก จึงเป็นการประคับประคองและรักษาตามอาการ โดยการทดแทนสารน้ำที่สูญเสียไป การรักษาทั่วไปอย่างอื่น เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ ยาลดอาการคลื่นไส้
การป้องกันและควบคุมโรค
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโนโรไวรัส จึงเน้นการล้างมือ การแยกผู้ป่วย และการทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม รวมถึงพิจารณาตรวจเชื้อในอุจจาระของผู้ทำอาหารและคนส่งอาหาร เนื่องจากผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการสามารถแพร่กระจายเชื้อผ่านทาง Fecal-Oral Route ได้
การล้างมือ
จากการศึกษาโนโรไวรัสอื่นในกลุ่ม Caliciviridae พบว่าการล้างมือด้วยน้ำและสบู่มีประสิทธิภาพดีกว่าแอลกอฮอลล์ Ethanol โดย Healthcare Infection Control Practices Advisory Committee ได้ออกคำแนะนำให้ล้างมือด้วยน้ำที่ไหลผ่านมือและสบู่อย่างน้อย 20 วินาทีเพื่อป้องกันและควบคุมการติดเชื้อโนโรไวรัสมากกว่าการใช้แอลกอฮอล์ Ethanol
การแยกผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน ท้องร่วงที่สงสัยการติดเชื้อโนโรไวรัส ควรแยกผู้ป่วยแบบ Contact Isolation อย่างน้อย 48 ชั่วโมง หลังมีอาการและจนกว่าอาการจะหาย และเมื่อต้องสัมผัสผู้ป่วยแนะนำการใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการกระจายแบบละอองฝอยจากการอาเจียน
การทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม
ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสหรือปนเปื้อนบ่อยๆ โดยน้ำยาที่แนะนำคือ Hypochlorite หรือสารฟอกขาว ความเข้มข้นอย่างน้อย 1,000-5,000 ppm3 หรือปริมาณ 5-25 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 แกลลอน
การซักเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนเชื้อให้ใช้ผงซักฟอกและน้ำร้อน และอบผ้าด้วยความร้อนสูงสุดของเครื่องอบผ้า
ข้อมูลโดย : พญ.วีราภรณ์ พุฒิวงศ์รักษ์