โรคไขสันหลังอักเสบ
โรคประสาทไขสันหลังอักเสบ หรือไขสันหลังอักเสบ หรือ Transverse Myelitis เป็นโรคไขสันหลังอักเสบ สามารถพบได้ในทุกเพศและทุกอายุ แต่มักพบในผู้ป่วยอายุน้อยมากกว่าผู้ป่วยสูงอายุ
สารบัญ โรคไขสันหลังอักเสบ
โรคประสาทไขสันหลังอักเสบ คืออะไร ?
ไขสันหลังอักเสบ หรือ Transverse Myelitis เป็นโรคทางระบบประสาทที่เกิดจากการอักเสบของไขสันหลัง (Spinal Cord) และมีการทำลายเยื่อหุ้มเส้นประสาท(Myelin) โดยตำแหน่งที่เกิดการอักเสบจะส่งผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อและความรู้สึกตั้งแต่ระดับที่ไขสันหลังที่เกิดการอักเสบ และส่งผลลงไปในไขสันหลังระดับที่ต่ำกว่าลงไปจนถึงช่วงขา ซึ่งเคสผู้ป่วยส่วนใหญ่มักพบการอักเสบในระดับไขสันหลังช่วงบนของแผ่นหลัง(Upper Back)
อาการแสดง โรคประสาทไขสันหลังอักเสบ
- อาการอ่อนแรง ซึ่งมักพบการอ่อนแรงส่วนขาที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และหากการอักเสบเกิดขึ้นที่บริเวณไขสันหลังส่วนบน(Upper Spinal Cord) จะส่งผลให้มีอาการอ่อนแรงแขนร่วมด้วย ซึ่งอาการอ่อนแรงจะเป็นมากขึ้นจนผู้ป่วยไม่สามารถใช้งานแขนและขาได้
- อาการปวด เป็นอาการเริ่มแรกที่มักได้ประวัติจากผู้ป่วย โดยจะมีอาการปวดบริเวณคอและหลัง ลักษณะอาการปวดจะเป็นลักษณะเหมือนของมีคมบาด (Sharp Shooting Pain) โดยจะมีการปวดร้าวลงไปที่ขาหรือแขนได้ ขึ้นกับระดับของไขสันหลังที่เกิดโรค
- ความรู้สึกผิดปกติบริเวณแขนหรือขา หรือบริเวณรอบรูก้น เช่น รู้สึกแสบร้อนเหมือนน้ำร้อนลวก อาการชา อาการเหมือนโดนเข็มจิ้มหรือสูญเสียความรู้สึกบริเวณแขนหรือขาได้
- การขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระผิดปกติ เช่น ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะราด ท้องผูก หรือถ่ายอุจจาระที่ไม่สามารถควบคุมได้
- อาการอื่น ๆ เช่น มีกล้ามเนื้อหดเกร็ง เบื่ออาหาร และหากตำแหน่งที่เกิดการอักเสบเกิดระดับไขสันหลังส่วนคอ มีผลทำให้ไม่สามารถหายใจเองได้ เนื่องจากเป็นตำแหน่งของไขสันหลังที่ให้เส้นประสาทในการควบคุมกล้ามเนื้อกะบังลมและกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ มีผลให้คนไข้มีภาวะหายใจล้มเหลว เสียชีวิตได้
สาเหตุของโรคไขสันหลังอักเสบ
- เกิดจากภูมิในร่างกายที่ผิดปกติ (Immune System Disorders) มีการสร้างภูมิขึ้นมาต่อต้านอวัยวะของผู้ป่วยเอง
- การติดเชื้อไวรัส เช่น Herpes Virus (งูสวัด), Enterovirus, Cytomegalovirus, Epstein-Barr Virus, Flaviviruses, ไข้หวัดใหญ่, ไวรัสตับอักเสบบี, หัด, หัดเยอรมัน
- การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซิฟิลิส วัณโรค คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน การติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณผิวหนัง ช่องหูอักเสบ ลำไส้อักเสบ ปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมา เป็นต้น
- การติดเชื้อรา เช่น Aspergillus, Cryptococcus, Coccidioides, Blastomyces เป็นต้น
- การติดเชื้อพยาธิ(Parasite infection) เช่น Toxoplasmosis, Cysticercosis, angiostrongyloides เป็นต้น
- การอักเสบสาเหตุอื่น ภาวะภูมิต่อต้านตัวเอง เช่น SLE(Systemic lupus Erythematosus), Sjogren’s syndrome scleroderma, Bechet’s Syndrome เป็นต้น
- เส้นเลือดผิดปกติ เช่น Arteriovenous Malformation, Dural Arterial-Venoud Fistula เป็นต้น
การตรวจวินิจฉัย โรคไขสันหลังอักเสบ
การวินิจฉัย มักได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกายและใช้การตรวจทางรังสีเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
- MRI Spinal Cord คือ การเอกซเรย์โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นการส่งตรวจที่สำคัญที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคเป็นหลัก
- การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง เพื่อตรวจหาการติดเชื้อ และตรวจวัดการอักเสบผ่านเม็ดเลือดขาว ปริมาณโปรตีน ระดับน้ำตาลในน้ำไขสันหลัง
- การตรวจเลือด เพื่อแยกโรคอื่น ๆ
การรักษาโรคไขสันหลังอักเสบ
การรักษาขึ้นกับสาเหตุที่ตรวจพบ ให้ทำการรักษาสาเหตุร่วมกับการลดการอักเสบที่เกิดขึ้น โดย
- การใช้ยาเสเตียรอยด์ทางเส้นเลือดเพื่อลดการอักเสบ
- การฟอกเลือด (Plasma Exchange Therapy) เพื่อเป็นการล้างภูมิที่ผิดปกติออกจากร่างกาย มักให้การรักษานี้กับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยใช้สเตียรอยด์
- การให้ IV immunoglobulin เพื่อไปจับกับภูมิที่ผิดปกติที่ร่างกายสร้างขึ้น เพื่อไม่ให้ภูมินั้นไปจับกับเซลล์ปกติของร่างกาย
- ยาบรรเทาอาการปวด
การให้ยาดังกล่าวข้างต้น มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง มีผลให้คนไข้มีโอกาสติดเชื้อง่ายขึ้น และมีความรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยทั่วไป
พยากรณ์โรค
- ผู้ป่วย 1/3 จะสามารถฟื้นฟูได้จนใกล้เคียงปกติ โดยใช้ระยะเวลาแตกต่างกัน ตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังเริ่มมีอาการป่วย จนถึงหลักเดือนหรือปี
- ผู้ป่วย 1/3 ยังคงมีอาการต่างๆคงอยู่ แต่ดีขึ้นกว่าช่วงแรก
- ผู้ป่วย 1/3 จะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ขับถ่ายผิดปกติ และซึมเศร้าตามมาได้
- ผู้ป่วยส่วนน้อยบางราย สามารถเกิดภาวะไขสันหลังอักเสบเป็นซ้ำได้
ข้อมูลโดย : พญ.วีราภรณ์ พุฒิวงศ์รักษ์