Visceral Fat คือ ไขมันที่ต้องรักษาระดับให้สมดุล
หลายคนอาจเข้าใจว่า Visceral Fat คือ ไขมันในช่องท้องที่ทำให้พุงยื่นออกมาเท่านั้นครับ แต่ในความจริงแล้ว ไขมันชนิดนี้ยังสะสมอยู่รอบอวัยวะสำคัญอย่างตับ ลำไส้ และหัวใจ จึงถือเป็นตัวชี้วัดสุขภาพสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะแม้รูปร่างจะไม่อ้วน ก็อาจมีค่า VF Level สูงกว่าปกติจนเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้
บทความนี้หมอจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่า Visceral Fat คืออะไร สะสมอยู่ตรงไหน มีผลต่อสุขภาพอย่างไร ? และจะควบคุมค่า VF Level ให้อยู่ในเกณฑ์สมดุลได้อย่างไร ? เพื่อช่วยดูแลสุขภาพจากภายในอย่างยั่งยืนครับ
สารบัญ Visceral Fat คือ
Visceral Fat คืออะไร ?
Visceral Fat หรือ ไขมันในช่องท้อง คือไขมันที่สะสมอยู่รอบอวัยวะภายใน เช่น ตับ ลำไส้ และหัวใจ แตกต่างจากไขมันใต้ผิวหนังที่มองเห็นได้ชัด เพราะไขมันชนิดนี้ซ่อนอยู่ลึกภายในร่างกาย ไม่สามารถจับหรือบีบได้จากภายนอก
ในปริมาณที่เหมาะสม Visceral Fat มีหน้าที่ช่วยป้องกันอวัยวะภายในจากแรงกระแทก แต่หากสะสมมากเกินไป จะส่งผลต่อสมดุลของฮอร์โมนและการทำงานของระบบเผาผลาญ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และภาวะไขมันในเลือดผิดปกติได้ครับ
Visceral Fat vs Subcutaneous Fat ต่างกันอย่างไร ?
แม้ไขมันทั้งสองชนิดจะเกิดจากพลังงานส่วนเกินที่ร่างกายสะสมไว้เหมือนกัน แต่ตำแหน่งการสะสมและผลกระทบต่อสุขภาพต่างกันชัดเจนครับ ตารางนี้จะช่วยให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น
| ประเภทของไขมัน | ตำแหน่งที่พบ | จุดเด่น | ผลกระทบต่อสุขภาพหากมีมากไป | วิธีลดที่เหมาะสม |
|---|---|---|---|---|
| Visceral Fat (ไขมันในช่องท้อง) | อยู่ลึกภายในช่องท้อง สะสมรอบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ลำไส้ หัวใจ | มองไม่เห็นจากภายนอก | ส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนและระบบเผาผลาญ เสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง |
|
| Subcutaneous Fat (ไขมันใต้ผิวหนัง) | อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา | สามารถใช้มือจับ หรือบีบได้ | ส่งผลต่อรูปร่างภายนอก ทำให้ดูอ้วน รูปร่างไม่สมส่วน ต้นขาเบียด แขนใหญ่ และเสี่ยงเป็นโรคอ้วน |
|
Visceral Fat มีสะสมอยู่ตรงไหนบ้าง ?
หลายคนอาจเข้าใจว่า Visceral Fat คือ ไขมันที่อยู่ในช่องท้อง สะสมเฉพาะบริเวณหน้าท้องหรือพุงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไขมันชนิดนี้สามารถกระจายอยู่รอบอวัยวะสำคัญหลายส่วนภายในร่างกายครับ เช่น
- หัวใจ (Heart) : หากสะสมมากเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ลำไส้ (Intestines) : ไขมันอาจรบกวนระบบย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร
- ไต (Kidneys) : ไขมันส่วนเกินอาจเพิ่มความดันในช่องท้อง กระทบต่อการทำงานของไต
- ตับและถุงน้ำดี (Liver & Gallbladder) : ส่งผลให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ หรือโรคตับไขมัน (Fatty Liver Disease)
- ตับอ่อน (Pancreas) : การสะสมของไขมันรอบตับอ่อนอาจกระทบต่อการหลั่งอินซูลินและเพิ่มความเสี่ยงเบาหวาน
คนที่มีพุง (Belly Fat) หรืออ้วนลงพุง มักมีทั้ง Visceral Fat และ Subcutaneous Fat อยู่ร่วมกันครับ โดย Visceral Fat จะอยู่ลึกด้านในห่อหุ้มอวัยวะภายใน ส่วน Subcutaneous Fat จะอยู่ชั้นนอกใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องที่เราจับได้เวลาบีบพุง
Visceral Fat เกิดจากอะไร ?
Visceral Fat เกิดจากการสะสมพลังงานส่วนเกินที่ร่างกายไม่ได้ใช้ โดยเฉพาะจากอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น คาร์โบไฮเดรตขัดสี ไขมันทรานส์ และน้ำตาล เมื่อร่างกายได้รับแคลอรีมากกว่าที่ใช้ พลังงานส่วนเกินจะถูกเก็บไว้ในรูปของไขมัน และส่วนหนึ่งจะไปสะสมลึกเข้าไปในช่องท้องครับ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่กระตุ้นให้ Visceral Fat เพิ่มขึ้นได้ง่าย เช่น
- การรับประทานอาหารไม่สมดุล : โดยเฉพาะอาหารแปรรูป ของทอด และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
- ขาดการออกกำลังกาย : ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ร่างกายใช้พลังงานน้อย
- ความเครียดสะสม : ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่สูงขึ้น ทำให้ร่างกายเก็บไขมันบริเวณช่องท้องมากขึ้น
- พักผ่อนไม่เพียงพอ : นอนไม่พอส่งผลต่อสมดุลของฮอร์โมนควบคุมความหิว (Leptin และ Ghrelin) ทำให้อยากอาหารมากขึ้น
- พันธุกรรมและอายุ : เมื่ออายุมากขึ้น มวลกล้ามเนื้อลดลง การเผาผลาญช้าลง ทำให้ไขมันสะสมง่ายขึ้น
- ฮอร์โมนเพศ : โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ระดับเอสโตรเจน (Estrogen) ลดลง ทำให้ไขมันเปลี่ยนมาสะสมที่ช่องท้องมากขึ้น
การสะสม Visceral Fat ในผู้ชายและผู้หญิงต่างกันไหม ?
Visceral Fat คือ ไขมันที่สะสมได้ในทุกเพศครับ แต่รูปแบบการสะสมและปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดไขมันส่วนนี้กลับแตกต่างกันในเพศชายและหญิง เพราะฮอร์โมนเพศ (Sex Hormones) มีบทบาทสำคัญต่อระบบเผาผลาญ การเก็บสะสมพลังงาน และโครงสร้างร่างกายโดยรวม
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น หมอสรุปเป็นตาราง ดังนี้
| ผู้ชาย | ผู้หญิง | |
|---|---|---|
| บริเวณที่สะสมไขมันหลัก | ช่องท้อง (Visceral Fat) | สะโพกและต้นขา (Subcutaneous Fat) |
| ฮอร์โมนที่มีอิทธิพล | Testosterone | Estrogen |
| แนวโน้มเมื่ออายุมากขึ้น | ระดับเทสโทสเทอโรนลดลง ทำให้ไขมันช่องท้องเพิ่มขึ้น | หลังวัยหมดประจำเดือน ระดับเอสโตรเจนลดลง ไขมันย้ายมาสะสมที่ช่องท้องมากขึ้น |
| ผลกระทบต่อสุขภาพ | เสี่ยงโรคเบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด | หลังวัยหมดประจำเดือนความเสี่ยงโรคเบาหวาน หัวใจ และหลอดเลือด เพิ่มขึ้น |
รู้จัก Visceral Fat Level ค่ามาตรฐานของ Visceral Fat คือเท่าไหร่ ?
การมี Visceral Fat ไม่ได้หมายถึงสุขภาพไม่ดีครับ เพราะไขมันชนิดนี้มีหน้าที่สำคัญในการห่อหุ้มและปกป้องอวัยวะภายใน แต่สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ คือ การรักษาระดับ Visceral Fat Level (VF Level) ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมครับ
ค่ามาตรฐาน Viscereal Fat Level คือ ประมาณ 10% ของไขมันทั้งหมดในร่างกายครับ โดยทั่วไปจะวัดได้จากเครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analyzer) ซึ่งมีแนวทาง ดังนี้
| ระดับ Visceral Fat (VF Level) | ผลการประเมิน | ความหมาย |
|---|---|---|
| 1-9 | อยู่ในเกณฑ์ปกติ | มี Visceral Fat เพียงพอต่อการทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายใน สุขภาพดี |
| 10-14 | เริ่มสูงกว่าปกติ | ควรเริ่มปรับพฤติกรรม เช่น ลดอาหารไขมันสูง เพิ่มการออกกำลังกาย |
| 15 ขึ้นไป | สูงเกินเกณฑ์ | มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน และกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม |
จะรู้ได้อย่างไรว่ามี Visceral Fat มากเกินไป ?
การหาค่า Visceral Fat Level ที่แม่นยำจำเป็นต้องใช้วิธีตรวจทางการแพทย์ เช่น เครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analyzer), CT Scan หรือ MRI ครับ
แต่ในเบื้องต้นคนไข้สามารถประเมินความเสี่ยงด้วยตัวเองได้จากการวัดรอบเอว และคำนวณค่า BMI ซึ่งแต่ละรูปแบบมีรายละเอียดอย่างไร หมอเจาะลึกให้ทีละประเด็น
วิธีทางการแพทย์ในการวัดปริมาณ Visceral Fat
การตรวจ Visceral Fat มักใช้เครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analyzer) ทำงานด้วยหลักการ Bioelectrical Impedance Analysis (BIA) โดยส่งกระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำที่ปลอดภัยเข้าสู่ร่างกาย เพื่อวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าของเนื้อเยื่อ ซึ่งช่วยประเมินมวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน รวมถึงระดับไขมันในช่องท้อง (VF Level) ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำในระดับหนึ่งครับ
นอกจากนี้หากต้องการผลที่ละเอียดกว่าสามารถตรวจด้วย CT Scan หรือ MRI ซึ่งให้ภาพ Visceral Fat ได้ชัดเจนกว่า แต่มีค่าใช้จ่ายสูงและมักใช้เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคอื่นมากกว่าการประเมินสุขภาพทั่วไป
ประเมินความเสี่ยง Visceral Fat มากเกินไปด้วยตัวเอง
แม้จะไม่แม่นยำเท่าการตรวจทางการแพทย์ แต่สามารถใช้วิธีเหล่านี้ประเมินแนวโน้ม Visceral Fat เบื้องต้นได้ครับ
| วิธีประเมิน | คำอธิบาย | ค่ามาตรฐาน | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|
| รอบเอว (Waist Circumference) | ใช้สายวัดพันรอบเอวเหนือกระดูกสะโพก (ไม่ใช่รอบพุง) |
| มากกว่านี้ถือว่าเสี่ยง Visceral Fat สูง |
| อัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก (Waist-to-Hip Ratio : WHR) | รอบเอว (ซม.) ÷ รอบสะโพก (ซม.) |
| เกินกว่านี้ถือว่ามีภาวะอ้วนลงพุง |
| ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) | น้ำหนัก (กก.) ÷ ส่วนสูง² (ม.) | ในคนเอเชีย ควรอยู่ระหว่าง 18.5-22.9 | หาก ≥23 ถือว่าน้ำหนักเกิน และ ≥30 ถือว่ามีความเสี่ยง Visceral Fat สูง |
| อัตราส่วนรอบเอวต่อส่วนสูง (Waist-to-Height Ratio : WHtR) | รอบเอว ÷ ส่วนสูง | ≤ 0.5 สำหรับทั้งสองเพศ | ถ้าเกินครึ่งของส่วนสูง เสี่ยงโรคหัวใจและกลุ่มอาการเมตาบอลิก |
หากมีระดับ Visceral Fat Level สูงเกินไปจะเสี่ยงโรคอะไรบ้าง ?
หากมีการสะสม Visceral Fat มากเกินไปจะหลั่งสารอักเสบ (Inflammatory Cytokines) และฮอร์โมนบางชนิดที่รบกวนระบบเผาผลาญ ทำให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิดครับ
| กลุ่มโรค | กลไกที่เกิดขึ้น | โรคที่พบบ่อย |
|---|---|---|
| หัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular & Circulatory Diseases) | Visceral Fat เพิ่มการอักเสบของผนังหลอดเลือด ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) สูง และลดคอเลสเตอรอลดี (HDL) |
|
| ระบบเผาผลาญ (Metabolic Disorders) | การสะสมไขมันช่องท้องมากทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ |
|
| ตับและระบบย่อยอาหาร (Liver & Digestive System) | ไขมันสะสมรอบตับ ส่งผลให้ไขมันแทรกเข้าไปในเซลล์ตับโดยตรง |
|
| ความผิดปกติของการทำงานร่างกาย (Functional Disorders) | ไขมันที่สะสมมากกดทับช่องอกและทางเดินหายใจ เพิ่มการอักเสบทั่วร่างกาย |
|
ลด Visceral Fat ด้วยตัวเองอย่างไรได้บ้าง ?
การลด Visceral Fat อย่างยั่งยืน หัวใจสำคัญอยู่ที่การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันครับ โดยเฉพาะในเรื่องพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการสะสมไขมันส่วนเกิน
หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง และไขมันอิ่มตัว เช่น ของทอด เบเกอรี่ เครื่องดื่มหวาน เพราะร่างกายจะเก็บส่วนเกินเหล่านี้ไว้ในรูปของ Visceral Fat ได้ง่าย ควรเลือกอาหารที่มีไขมันดีจากปลาแซลมอน อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง และน้ำมันมะกอกแทนครับ
2. กินผัก ผลไม้เพิ่มขึ้น
ผักและผลไม้มีไฟเบอร์สูง ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดการดูดซึมน้ำตาล และปรับสมดุลลำไส้ ซึ่งช่วยลดระดับอินซูลินและโอกาสเกิด Visceral Fat ได้ดี ควรเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น เบอร์รี แอปเปิล หรือฝรั่ง
3. ออกกำลังกายแบบ Cardio
คาร์ดิโอ (Cardio) คือ การออกกำลังกายที่ช่วยกระตุ้นระบบหัวใจและหลอดเลือดให้ทำงานมากขึ้น โดยจะเน้นการเคลื่อนไหวแบบต่อเนื่อง เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิก ควรทำอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินและลดไขมันช่องท้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ออกกำลังกายแบบ Weight Training
Weight Training คือ การออกกำลังกายที่ใช้แรงต้าน เช่น ยกเวท ดันพื้น หรือยางยืด เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เมื่อมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานมากขึ้นแม้ในขณะพัก ช่วยลด Visceral Fat ได้อย่างต่อเนื่อง หากทำควบคู่กับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ก็จะช่วยลดไขมัน และปรับรูปร่างให้สมส่วน
5. ทำ IF (Intermittent Fasting)
IF หรือ Intermittent Fasting คือ การจำกัดช่วงเวลารับประทานอาหาร เช่น แบบ 16/8 (อด 16 ชั่วโมง กินได้ 8 ชั่วโมง) เพื่อให้ร่างกายดึงพลังงานจากไขมันสะสมมาใช้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลด Visceral Fat ได้ครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : IF (Intermittent Fasting) มีกี่แบบ ? มีข้อควรระวังอย่างไร ?
6. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ควรดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 1.5-2 ลิตร หรือตามน้ำหนักตัวครับ เพื่อให้ระบบย่อยอาหาร และระบบเผาผลาญได้ทำงานได้เป็นปกติครับ รวมถึงยังสามารถช่วยลดความอยากอาหารอีกด้วย
7. ลดความเครียด
ความเครียดเรื้อรังทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายสะสม Visceral Fat มากกว่าปกติ การหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง เดินเล่น หรือทำสมาธิ จะช่วยลดผลกระทบนี้ได้ครับ
8. นอนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอมีผลโดยตรงต่อระบบเผาผลาญของร่างกายครับ หากนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง/คืน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนหิว (Ghrelin) มากขึ้น และลดการหลั่งฮอร์โมนอิ่ม (Leptin) ทำให้รู้สึกหิวบ่อย กินมากขึ้น และสะสมไขมันได้ง่าย โดยเฉพาะ Visceral Fat
สำหรับวัยผู้ใหญ่ควรนอนวันละ 7-9 ชั่วโมง/คืน ตามคำแนะนำของ National Sleep Foundation เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้เต็มที่ ระบบเผาผลาญทำงานปกติ และลดโอกาสเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินที่สัมพันธ์กับ Visceral Fat ครับ
9. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
แอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มการอักเสบในร่างกายและกระตุ้นให้ร่างกายเก็บไขมันไว้ในช่องท้องมากขึ้น การเลิกพฤติกรรมเหล่านี้ช่วยให้ลด Visceral Fat ได้เร็วขึ้นและส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจครับ
มีวิธีลด Visceral Fat แบบเร่งด่วนไหม ?
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีสลาย Visceral Fat แบบเร่งด่วนครับ เพราะเป็นส่วนของไขมันที่อยู่ลึกเข้าไปในอวัยวะภายใน จำเป็นต้องอาศัยการปรับพฤติกรรม และการกินด้วยวิธีที่หมอได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งจะช่วยลด Visceral Fat แบบค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้หากเป็นการลดไขมันประเภท Subcutaneous Fat ที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เพื่อให้รูปร่างได้สัดส่วน ตัวเล็กลง มีหัตถการทางแพทย์หลายวิธีที่ทำได้ โดยไม่ต้องผ่าตัดครับ เช่น
- Meso Fat : ฉีดตัวยาเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่มีไขมันสะสม เช่น แก้ม เหนียง ต้นแขน หรือต้นขา ช่วยสลายเซลล์ไขมันให้แตกตัว และขับออกตามกลไกธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้า หรือลดสัดส่วนเฉพาะจุด
- CoolSculpting : การสลายไขมันด้วยความเย็นจุดเยือกแข็ง (Cryolipolysis) ช่วยลดจำนวนเซลล์ไขมันได้ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง เหมาะกับตำแหน่งใหญ่ ๆ เช่น หน้าท้อง ต้นขา พุง
- Thermage FLX : วิธียกกระชับผิวด้วย Monopolar RF ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นไขมัน ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ลดความหย่อนคล้อย และทำให้ผิวเรียบเนียน แม้ไม่ได้ลดจำนวนเซลล์ไขมันโดยตรง แต่ช่วยให้รูปร่างดูเฟิร์มและกระชับมากขึ้นหลังการลดน้ำหนัก
ฉีดปากกาลดน้ำหนัก ตัวช่วยปรับพฤติกรรมการกิน ลด Visceral Fat
การฉีดปากกาลดน้ำหนักสามารถช่วยลด Visceral Fat ได้ประมาณ 15% และลดน้ำหนักได้ 15-22% จากเดิม เมื่อใช้งานต่อเนื่องภายใต้การดูแลของแพทย์ครับ เหมาะกับผู้ที่มีค่า BMI ≥ 30 หรือผู้ที่มีค่า BMI ≥ 27 ร่วมกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว
กลไกการทำงานของปากกาลดน้ำหนัก คือ ใช้ตัวยาที่เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 และ GIP ซึ่งเป็นฮอร์โมนตามธรรมชาติ มีบทบาทควบคุมระดับน้ำตาล และการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย หลังฉีดจะช่วยลดความอยากอาหาร และชะลอการย่อยอาหาร ทำให้อิ่มเร็ว อิ่มนาน จึงช่วยลดการกินจุบจิบระหว่างวัน หรือลดการบริโภคอาหารเกินจำเป็นได้
ทั้งนี้ ปากกาลดน้ำหนักเป็นยาควบคุมที่ต้องสั่งจ่ายและดูแลโดยแพทย์เท่านั้นครับ ก่อนเริ่มใช้จะมีการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินข้อมูลสำคัญ เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง สัดส่วนร่างกาย ประวัติแพ้ยา หรือโรคประจำตัว เพื่อเลือกยี่ห้อและขนาดโดสที่เหมาะสมกับแต่ละคน พร้อมติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
คำถามพบบ่อย Visceral Fat คือ
ลด Visceral Fat ยากไหม ?
Visceral Fat ไม่ได้ลดยากอย่างที่หลายคนคิดครับ เพราะเป็นไขมันที่ตอบสนองต่อการปรับพฤติกรรมได้ดี หากควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายจะดึงพลังงานจากไขมันช่องท้องมาใช้ได้ง่ายกว่าไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ทำให้สามารถลดลงได้ภายในประมาณ 2-3 เดือน
ผอมแต่มีพุง ถือว่ามี Visceral Fat ไหม ?
มีครับ ทุกคนล้วนมีไขมันชนิดนี้อยู่ในร่างกายระดับหนึ่ง หากมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไม่ออกกำลังกาย กินอาหารไขมันสูง หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจเกิดภาวะ TOFI (Thin Outside, Fat Inside) คือ ภายนอกผอม แต่มี Visceral Fat สะสมในปริมาณสูง ซึ่งความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจได้เช่นเดียวกับคนอ้วนครับ
ทางที่ดี ไม่ว่าจะรูปร่างแบบไหน ควรเข้าตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินค่า VF Level และสุขภาพโดยรวม
ฉีดเมโสแฟตลด Visceral Fat ได้ไหม ?
การฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) ใช้ลดไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) เท่านั้น ไม่สามารถลด Visceral Fat ได้ครับ จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหามีเหนียง หน้าอ้วน หรือต้องการกระชับสัดส่วนเฉพาะจุดบริเวณต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
ใส่เข็มขัดลดพุงช่วยลด Visceral Fat ได้ไหม ?
การใส่เข็มขัดลดพุงไม่สามารถช่วยลด Visceral Fat ได้ครับ แต่เป็นการกระชับหน้าท้องเพียงชั่วคราว หรือช่วยเพิ่มการขับเหงื่อ และอุณหภูมิในระหว่างออกกำลังกายเท่านั้น
ระดับ Visceral Fat Level เท่าไหร่ ถึงอันตราย ?
ค่า Visceral Fat Level ควรอยู่ที่ 1-9 ถือว่าปกติ หากมีค่าตั้งแต่ 10 ขึ้นไป จะเริ่มจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ลด Visceral Fat ได้ถาวรไหม ?
Visceral Fat ไม่สามารถหายไปได้ถาวรครับ แต่สามารถลดและควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพ โดยควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับ Visceral Fat ในระยะยาวครับ
สรุป Visceral Fat คือ ไขมันที่ควบคุมได้ หากเข้าใจและดูแลถูกวิธี
Visceral Fat คือ ไขมันที่อยู่ลึกภายในร่างกายห่อหุ้ม และปกป้องอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ หัวใจ และลำไส้ หากมีมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และความผิดปกติของระบบเผาผลาญได้ครับ การดูแลที่ดีที่สุด คือ รักษาค่า VF Level ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว
อ้างอิง
- Gavin KM, Bessesen DH. Sex Differences in Adipose Tissue Function. Endocrinol Metab Clin North Am. 2020 Jun;49(2):215-228. doi: 10.1016/j.ecl.2020.02.008. Epub 2020 Apr 16. PMID: 32418585; PMCID: PMC7921847.
- Shuster A, Patlas M, Pinthus JH, Mourtzakis M. The clinical importance of visceral adiposity: a critical review of methods for visceral adipose tissue analysis. Br J Radiol. 2012 Jan;85(1009):1-10. doi: 10.1259/bjr/38447238. Epub 2011 Sep 21. PMID: 21937614; PMCID: PMC3473928.
- Yoo EG. Waist-to-height ratio as a screening tool for obesity and cardiometabolic risk. Korean J Pediatr. 2016 Nov;59(11):425-431. doi: 10.3345/kjp.2016.59.11.425. Epub 2016 Nov 18. PMID: 27895689; PMCID: PMC5118501.
- https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/24147-visceral-fat


