วัคซีน HPV คืออะไร ?
ในยุคที่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันได้รับความสำคัญมากขึ้น การรับวัคซีน HPV ถือเป็นวิธีช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้หญิงทั่วโลก
การรับวัคซีน HPV ไม่ใช่เพียงการปกป้องตนเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวครับ วัคซีน HPV สำคัญอย่างไร ? มีกี่ชนิด ? แต่ละชนิดมีข้อแตกต่างอย่างไร ? และควรเลือกชนิดไหนจึงจะเหมาะสม หมอรวมสาระสำคัญเกี่ยวกับฉีดวัคซีน hpv อย่างครบถ้วนมาไว้ให้แล้วในบทความนี้ครับ
สารบัญวัคซีน HPV
รู้จักวัคซีน HPV คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ ?
วัคซีน HPV (Human Papillomavirus Vaccine) คือวัคซีนที่พัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก รวมถึงมะเร็งและโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสชนิดนี้ครับ
ไวรัส HPV สามารถติดเชื้อได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ไวรัสเอชพีวี มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ และมากกว่า 40 สายพันธุ์ก่อให้เกิดโรค โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
- กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็ง (High-risk types) เช่น สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกประมาณ 70%
- กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ (Low-risk types) เช่น สายพันธุ์ 6 และ 11 ที่ทำให้เกิดหูดติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ความสำคัญของวัคซีน HPV อยู่ที่การป้องกันโรคได้ก่อนที่จะติดเชื้อ ทำให้ลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกและโรคที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการศึกษาวิจัยระดับโลกพบว่าวัคซีน HPV สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่อยู่ในวัคซีนได้มากกว่า 90% โดยมีการติดตามผลนานกว่า 10 ปี
วัคซีน HPV มีกี่ชนิด ?
ปัจจุบันวัคซีน HPV ที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกมี 3 ชนิดหลัก ๆ ครับ โดยจำแนกตามจำนวนสายพันธุ์ของไวรัสที่สามารถป้องกันได้ ดังนี้
- วัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์ (Bivalent vaccine) ป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก วัคซีนชนิดนี้เน้นการป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันมะเร็งปากมดลูกเป็นหลัก
- วัคซีนแบบ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent vaccine) ป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 นอกจากจะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เหมือนแบบ 2 สายพันธุ์แล้ว ยังช่วยป้องกันหูดติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Genital warts) ที่เกิดจากสายพันธุ์ 6 และ 11 อีกด้วย
- วัคซีนแบบ 9 สายพันธุ์ (Nonavalent vaccine หรือ Gardasil 9) ป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 เป็นวัคซีนที่ให้การป้องกันกว้างขวางที่สุด สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึงประมาณ 90% และยังป้องกันหูดติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย ปัจจุบันวัคซีนแบบนี้ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับการแนะนำมากที่สุดจากองค์กรสาธารณสุขโลก
วัคซีน HPV เหมาะกับใคร ?
วัคซีน HPV เหมาะสำหรับทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย โดยมีข้อแนะนำตามช่วงอายุดังนี้
- ช่วงอายุที่แนะนำ องค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานสาธารณสุขของไทยแนะนำให้เริ่มฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุ 9-14 ปี เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด และยังไม่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ ทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงสุด
- วัยรุ่นและผู้ใหญ่ สามารถรับวัคซีนได้จนถึงอายุ 26 ปี หรือบางกรณีอาจให้ได้ถึง 45 ปี โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมเป็นรายบุคคล แม้จะเคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วก็ยังได้ประโยชน์จากวัคซีน เพราะอาจยังไม่เคยติดเชื้อไวรัสทุกสายพันธุ์ที่วัคซีนป้องกัน
- ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อ HPV แม้จะเคยติดเชื้อ HPV มาก่อน ก็ยังสามารถรับวัคซีนได้ครับ เพราะวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ยังไม่เคยสัมผัส
วัคซีน HPV ผู้ชายฉีดได้ไหม ?
ฉีดได้ครับ และหมอแนะนำให้ฉีดด้วย เนื่องจากผู้ชายก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV และเป็นพาหะนำโรคสู่คู่ครองได้เช่นกัน
ประโยชน์จากการฉีดวัคซีน HPV สำหรับผู้ชาย ได้แก่ การป้องกันหูดติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อวัยวะเพศ การลดความเสี่ยงต่อมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับ HPV เช่น มะเร็งทวารหนัก มะเร็งอวัยวะเพศ และมะเร็งช่องปากและลำคอ รวมถึงการช่วยลดการแพร่เชื้อไปยังคู่ครอง
แนะนำผู้ชายควรรับวัคซีนในช่วงอายุเดียวกับผู้หญิง คือ 9-26 ปี และอาจให้ได้จนถึง 45 ปี ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์
ข้อดีของวัคซีน HPV ช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง ?
วัคซีน HPV ให้การป้องกันที่หลากหลายมากกว่าแค่มะเร็งปากมดลูกครับ หมอขอสรุปข้อดีสำคัญดังนี้
- ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการแนะนำให้เข้ารับการวัคซีน เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าวัคซีนแบบ 9 สายพันธุ์สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 90% หากได้รับวัคซีนก่อนมีเพศสัมพันธ์
- ป้องกันมะเร็งชนิดอื่นอีกหลายชนิด อาทิมะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก มะเร็งอวัยวะเพศทั้งในผู้ชายและผู้หญิง และมะเร็งช่องปากและลำคอ ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อ HPV
- ป้องกันหูดติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Genital warts) ซึ่งแม้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตใจของผู้ป่วย การฉีดวัคซีน HPV แบบ 4 และ 9 สายพันธุ์สามารถป้องกันหูดได้มากกว่า 90%
- ลดอัตราการป่วยและการเสียชีวิต จากมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับ HPV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มที่รับวัคซีนก่อนมีเพศสัมพันธ์
วัคซีน HPV ต้องฉีดกี่ครั้ง กี่เข็ม ?
จำนวนครั้งในการฉีดวัคซีน HPV ขึ้นอยู่กับอายุที่เริ่มรับวัคซีน ซึ่งมีแนวทางดังนี้
- ผู้ที่อายุ 9-14 ปี ต้องฉีด 2 เข็ม โดยเว้นระยะห่างระหว่างเข็มแรกและเข็มที่สอง 6-12 เดือน การศึกษาพบว่าในช่วงอายุนี้ ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีมาก จึงต้องฉีดเพียง 2 เข็มก็ให้การป้องกันที่เพียงพอแล้ว
- ผู้ที่อายุ 15-45 ปี ต้องฉีด 3 เข็ม ตามกำหนด 0, 1-2, และ 6 เดือน โดยฉีดเข็มแรกวันแรก ฉีดเข็มที่สองหลังจากเข็มแรก 1-2 เดือน และฉีดเข็มที่สามหลังจากเข็มแรก 6 เดือน
- กรณีพิเศษ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ติดเชื้อ HIV แนะนำให้ฉีด 3 เข็มไม่ว่าจะอายุเท่าไร เพื่อให้ได้ภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ
สิ่งสำคัญคือการฉีดวัคซีนให้ครบตามจำนวนเข็มที่แนะนำ เพราะการฉีดไม่ครบอาจทำให้ภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอและลดประสิทธิภาพในการป้องกันโรค
วัคซีน HPV ต้องฉีดกระตุ้นหรือไม่ ?
ตามข้อมูลวิจัยและแนวทางปฏิบัติปัจจุบัน หลังฉีดวัคซีน HPV ครบแล้ว ไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นครับ โดยภูมิคุ้มกันจากวัคซีนจะสามารถอยู่ในร่างกายในระดับที่ให้การป้องกันได้ดีนานมากกว่า 10 ปี และมีแนวโน้มว่าอาจคงอยู่ได้ตลอดชีวิต ซึ่งต่างจากวัคซีนบางชนิดที่ต้องฉีดกระตุ้นเป็นระยะ
อาการข้างเคียงของวัคซีน HPV มีอะไรบ้าง ?
วัคซีน HPV ถือว่าปลอดภัยสูง แต่ก็อาจมีอาการข้างเคียงบ้างเหมือนวัคซีนชนิดอื่น ๆ (ควรสังเกตอาการหลังฉีดวัคซีน แต่ละครั้งประมาณ 15-30 นาที) โดยอาการข้างเคียงส่วนใหญ่ที่พบได้จะเป็นอาการเล็กน้อยและหายเองภายในไม่กี่วัน เช่น
- ปวด แดง หรือบวมบริเวณที่ฉีด เป็นอาการที่พบมากที่สุด เนื่องจากวิธีการฉีดวัคซีน HPV เป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular injection) โดยทั่วไปฉีดที่กล้ามเนื้อต้นแขน (Deltoid muscle) จะทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้มักเกิดในวันแรกหลังฉีดและค่อย ๆ ดีขึ้นใน 1-3 วัน
- อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หรือปวดศีรษะเล็กน้อย มักเกิดในวันแรกหลังฉีด สามารถบรรเทาได้ด้วยการพักผ่อนเพียงพอและดื่มน้ำมาก ๆ ในบางเคสอาจมีไข้เล็กน้อยมักหายเองภายใน 1-2 วัน
ผู้ที่ไม่ควรรับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV
ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน HPV ในกลุ่มคนบางกลุ่มที่ควรงดหรือเลื่อนการรับวัคซีน ได้แก่
- หญิงตั้งครรภ์ แม้ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีน HPV จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่เพื่อความปลอดภัย แนะนำให้เลื่อนการฉีดออกไปจนกว่าจะคลอดบุตรแล้ว หากตั้งครรภ์หลังฉีดเข็มแรกหรือเข็มที่สองไปแล้ว ให้เลื่อนการฉีดเข็มถัดไปจนกว่าจะคลอดบุตร
- ผู้ที่อยู่ในภาะเจ็บป่วย เช่น มีไข้สูง เป็นหวัดหรือมีการติดเชื้ออื่น ๆ ควรรอให้อาการดีขึ้นก่อนจึงค่อยมาฉีดวัคซีนครับ
ในกรณีที่มีโรคประจำตัวหรือไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนรับวัคซีนเสมอครับ
ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน HPV
การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การรับวัคซีนเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย แนะนำดังนี้
ก่อนฉีด
- พักผ่อนให้เพียงพอ ทำร่างกายให้อบอุ่นและแข็งแรง
- แจ้งแพทย์ หากมีประวัติแพ้วัคซีนหรือยาใด ๆ มาก่อน มีโรคประจำตัว หรือกำลังรับประทานยาอยู่ สำหรับสตรีควรแจ้งหากกำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์
- หากมีอาการป่วย มีไข้ ควรเลื่อนการนัดฉีดไปก่อน
ขั้นตอนระหว่างฉีด
- แพทย์จะฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อที่ต้นแขน ใช้เวลาสั้นเพียง 2-3 นาที
- หลังฉีดจะมีให้พักสังเกตอาการ 15-30 นาที เพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือไม่
- หากไม่พบความผิดปกติ สามารถกลับบ้านได้ และนัดหมายกำหนดรับวัคซีนเข็มถัดไป
ข้อแนะนำการปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีน HPV
- ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก หลีกเลี่ยงการออกแรงหนักหรือออกกำลังกายหนัก พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีอาการปวดหรือบวมบริเวณที่ฉีด สามารถประคบเย็นได้ 10-15 นาที หลายครั้งตามต้องการ
- หากมีอาการปวดบริเวณที่ฉีด ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีไข้เล็กน้อย สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ ตามความจำเป็น (ไม่แนะนำให้รับประทานยาแก้ปวดก่อนฉีดวัคซีน)
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังฉีดวัคซีน
ฉีดวัคซีน HPV ราคาเท่าไหร่ ?
ราคาวัคซีน HPV แตกต่างกันไปตามชนิดของวัคซีนและสถานที่ให้บริการ ข้อมูลโดยประมาณดังนี้
- วัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์ มีราคาประมาณ 2,000-3,500 บาทต่อเข็ม
- วัคซีนแบบ 4 สายพันธุ์ มีราคาประมาณ 2,500-4,000 บาทต่อเข็ม
- วัคซีนแบบ 9 สายพันธุ์ เป็นวัคซีนที่ให้การป้องกันที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ราคาประมาณ 5,000-7,500 บาทต่อเข็ม
แม้ราคาวัคซีนจะไม่ถูก แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งปากมดลูกซึ่งสูงมากและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การลงทุนในวัคซีนถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งครับ
ข้อพิจารณาในการเลือกฉีดวัคซีน HPV ที่ไหนดี ?
การเลือกสถานที่รับวัคซีน HPV ที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อการได้รับบริการที่มีคุณภาพและปลอดภัยหมอมีข้อแนะนำดังนี้
- ความน่าเชื่อถือและใบอนุญาต ควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องจากกระทรวงสาธารณสุข มีแพทย์หรือพยาบาลที่มีประสบการณ์ในการให้วัคซีน และมีระบบการจัดเก็บวัคซีนที่เหมาะสม เพราะวัคซีนต้องเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อคงประสิทธิภาพครับ
- ความสะดวก ควรพิจารณาเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเดินทาง เพราะต้องไปฉีดหลายครั้ง และมีระบบการนัดหมายที่ชัดเจน
- ราคาและความคุ้มค่า เปรียบเทียบราคาจากหลายแห่ง แต่ไม่ควรตัดสินใจจากราคาถูกเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาคุณภาพการบริการด้วย
- คุณภาพการให้บริการและคำปรึกษา คลินิกที่ดีควรมีการให้คำปรึกษาก่อนและหลังฉีดวัคซีน ตอบคำถามได้ชัดเจน มีการบันทึกประวัติการฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบ และมีการติดตามผลหลังฉีด
- ความพร้อมในการดูแลฉุกเฉิน ควรคลินิกที่มีความพร้อมจัดการกับอาการแพ้ฉุกเฉินได้ มีอุปกรณ์และยาฉุกเฉินครบถ้วน แม้โอกาสเกิดอาการแพ้รุนแรงจะน้อยมาก แต่การมีความพร้อมเป็นสิ่งสำคัญ
- ตัวเลือกชนิดของวัคซีน บางสถานที่อาจมีวัคซีนเพียงบางชนิด ถ้าต้องการวัคซีนชนิดใดเฉพาะ ควรสอบถามก่อนไปใช้บริการ ปัจจุบันวัคซีนแบบ 9 สายพันธุ์เป็นที่แนะนำมากที่สุดครับ
คำถามที่พบบ่อย (Q&A) เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน HPV
จำเป็นต้องตรวจภายในก่อนรับวัคซีนหรือไม่ ?
ไม่จำเป็นต้องตรวจภายในหรือตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกก่อนรับวัคซีน HPV วัคซีนครับ โดยการฉีดวัคซีน HPV เป็นการป้องกันล่วงหน้า ส่วนการตรวจคัดกรองเป็นการตรวจหารอยโรคที่อาจมีอยู่แล้ว ทั้งสองอย่างมีวัตถุประสงค์ต่างกัน และควรทำควบคู่กันในผู้ที่มีอายุเหมาะสม
วัคซีนสามารถให้ในสตรีให้นมบุตรได้หรือไม่ ?
วัคซีน HPV สามารถฉีดในสตรีที่กำลังให้นมบุตรได้อย่างปลอดภัย ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนจะส่งผลเสียต่อแม่หรือทารกที่กินนมแม่
การศึกษาพบว่าวัคซีน HPV ไม่ผ่านไปในน้ำนมมารดา และไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพหรือปริมาณน้ำนม ดังนั้นหากคนไข้กำลังให้นมบุตรอยู่และต้องการฉีดวัคซีน HPV สามารถทำได้โดยไม่ต้องหยุดให้นม
อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนในขณะตั้งครรภ์ หากมีการวางแผนที่จะฉีดวัคซีนหลายเข็ม ควรวางแผนให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้ตรงกับช่วงการวางแผนตั้งครรภ์ครั้งถัดไป แต่หากตั้งครรภ์ระหว่างการฉีดวัคซีนแล้ว ก็สามารถฉีดเข็มที่เหลือต่อได้หลังคลอดและระหว่างให้นมบุตรได้ครับ
การฉีดวัคซีน HPV ป้องกันโรคได้นานแค่ไหน ?
จากการศึกษาวิจัยติดตามระยะยาว วัคซีน HPV ให้ภูมิคุ้มกันที่ยาวนานมาก โดยพบว่าภูมิคุ้มกันยังคงอยู่ในระดับที่ให้การป้องกันได้ดีนานมากกว่า 10 ปีอย่างแน่นอน และมีแนวโน้มว่าอาจคงอยู่ได้ตลอดชีวิต
จึงเป็นเหตุผลที่องค์การอนามัยโลกและหน่วยงานกำกับดูแลด้านสาธารณสุขของหลายประเทศไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน HPV กระตุ้นในขณะนี้ เพราะภูมิคุ้มกันจากการฉีดครบตามจำนวนเข็มที่แนะนำนั้นคงทนยาวนานพอแล้วครับ
ได้รับวัคซีนเอชพีวียังต้องมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกไหม ?
ยังต้องตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอครับ แม้ว่าจะได้รับวัคซีน HPV แล้ว หมอยังคงแนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามช่วงเวลาที่แพทย์แนะนำ
เหตุผลคือวัคซีน HPV โดยเฉพาะชนิด 9 สายพันธุ์จะป้องกันไวรัสที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 90% แต่ยังมีไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ อีกประมาณ 10% ที่วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้
สิ่งที่ควรทำความเข้าใจคือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสใหม่ แต่ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อที่มีอยู่แล้วก่อนการฉีดวัคซีนได้ การฉีดวัคซีนหลังมีเพศสัมพันธ์แล้วอาจมีโอกาสติดเชื้อมาก่อนได้ และไม่มีวิธีป้องกันใดที่ได้ผล 100% ครับ
ดังนั้น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอจึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ โดยทั่วไปแนะนำให้เริ่มตรวจคัดกรองเมื่ออายุ 25-30 ปี (ขึ้นกับแนวทางของแต่ละประเทศ) และการรับวัคซีน HPV ควบคู่กับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจะให้การป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ดีที่สุด
หากฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกทั้งแบบ 2, 4 สายพันธุ์ครบทั้ง 3 เข็มแล้ว จำเป็นต้องฉีดแบบ 9 สายพันธุ์เพิ่มไหม ?
ไม่จำเป็นต้องฉีดเพิ่ม แต่อาจพิจารณาได้ในบางกรณี หากคนไข้ได้รับวัคซีนแบบ 2 หรือ 4 สายพันธุ์ครบทั้ง 3 เข็มแล้ว คนไข้จะได้รับการป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกประมาณ 70% อยู่แล้ว และหากฉีดแบบ 4 สายพันธุ์ ยังได้การป้องกันหูดติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกด้วย
การฉีดวัคซีนแบบ 9 สายพันธุ์ (Gardasil 9) เพิ่ม จะให้การป้องกันไวรัสอีก 5 สายพันธุ์ (31, 33, 45, 52, 58) ซึ่งรวมกันแล้วเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกอีกประมาณ 20%
กรณีที่อาจพิจารณาฉีดวัคซีนแบบ 9 สายพันธุ์เพิ่ม
- ยังอยู่ในวัยที่ได้ประโยชน์จากวัคซีน (โดยเฉพาะอายุน้อยกว่า 26 ปี)
- ต้องการการป้องกันที่ครอบคลุมมากขึ้น
- ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์หรือมีคู่ครองเพียงคนเดียว (โอกาสติดเชื้อสายพันธุ์อื่นยังน้อย)
- พร้อมที่จะรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
หากมีข้อสงสัยเฉพาะกรณีของตนเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์
เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ฉีดวัคซีน HPV ได้ไหม ?
ฉีดได้ครับ หลายคนอาจจะคิดว่าเคยเพศสัมพันธ์แล้วจะฉีดวัคซีน HPV ไม่ได้หรือไม่มีประโยชน์ ซึ่งไม่ถูกต้องครับ เหตุผลที่ยังฉีดได้และควรฉีดคือ ไวรัส HPV มีหลายสายพันธุ์ แม้จะเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว โอกาสที่จะติดเชื้อ HPV ทุกสายพันธุ์พร้อมกันนั้นเป็นไปได้ยากมาก ดังนั้นการเข้ารับการวัคซีน HPV จะช่วยป้องกันสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยสัมผัสครับ
สรุปฉีดวัคซีน HPV ลดเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
จากข้อมูลที่หมอให้ไว้ทั้งหมด จะเห็นว่าวัคซีน HPV เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกและโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัส HPV ปัจจุบันมีวัคซีน 3 ชนิดให้เลือก คือ แบบ 2, 4 และ 9 สายพันธุ์ โดยวัคซีนแบบ 9 สายพันธุ์ให้การป้องกันอย่างครอบคลุม สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 90% และยังป้องกันหูดติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วยครับ
สิ่งสำคัญที่สุดคือการรับวัคซีนให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะในช่วงอายุ 9-14 ปี ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เพราะจะให้ประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม แม้จะอายุมากกว่านี้หรือเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ก็ยังได้ประโยชน์จากวัคซีน และไม่ควรลังเลที่จะรับวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ได้ภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม V Square Clinic พร้อมให้คำแนะนำครับ
อ้างอิง
- แนวทางเวชปฏิบัติของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย. การป้องกันมะเร็งปากมดลูกปฐมภูมิ RTCOG Clinical Practice GuidelinePrimary Prevention of Cervical Cancer ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย. พ.ศ. 2563. [เข้าถึงเมื่อ 11 มี.ค. 2567]
- Human Papillomavirus vaccines: World Health Organization position paper, December 2022. Available from :
https://www.who.int/teams/immunization-vaccines-and-biologicals/policies/position-papers/human-papillomavirus-(hpv). Accessed January 10, 2024
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ


