รู้จักวิตามิน B3 ให้มากขึ้น
วิตามิน B3 หรือที่เรียกว่า Niacin (ไนอาซิน) เป็นวิตามินที่ละลายน้ำในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทั้งในด้านการเผาผลาญพลังงาน ระบบประสาท และสุขภาพผิวหนัง
ปัจจุบันวิตามิน b3 ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในวงการแพทย์และความงามครับ เนื่องจากคุณประโยชน์ที่หลากหลายและผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน
สารบัญ วิตามิน B3
วิตามิน B3 คืออะไร ?
วิตามิน B3 (Niacin หรือ Nicotinic Acid) เป็นวิตามินจำเป็น (Essential Vitamin) ที่ร่างกายสร้างได้จาก กรดอะมิโน ทริปโตเฟน (Tryptophan) แต่ก็ไม่เพียงพอต่อร่างกาย จึงต้องได้รับเพิ่มจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงการดริปวิตามินสูตรต่าง ๆ ที่มีวิตามินบี 3 เป็นส่วนประกอบ
วิตามิน B3 มีสองรูปแบบหลักคือ Nicotinic Acid (กรดนิโคตินิก) และ Nicotinamide (Niacinamide-ไนอะซินาไมด์) โดยทั้งสองรูปแบบจะถูกแปลงเป็น NAD (Nicotinamide Adenine Dinucleotide) และ NADP (Nicotinamide Adenine Dinucleotide Phosphate) ซึ่งเป็น Coenzyme (โคเอนไซม์) ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเซลล์ในร่างกาย เพื่อเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน บำรุงระบบประสาท และระบบทางเดินอาหาร
บทความแนะนำ
รวมประโยชน์ของวิตามิน B3
บทบาทสำคัญของวิตามิน B3 ในร่างกายนับว่ามีประโยชน์หลากหลายครับ เช่น
- ช่วยการเผาผลาญพลังงาน : วิตามิน B3 เป็นองค์ประกอบสำคัญของ Coenzyme NAD และ NADP ที่มีหน้าที่ในการแปลงคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเป็นพลังงาน ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ประโยชน์สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด : มีการศึกษาทางการแพทย์พบว่า วิตามิน B3 ช่วยลดระดับไขมันเลวในเลือด (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) อีกทั้งยังช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
- ประโยชน์ระบบประสาท : วิตามิน B3 มีบทบาทในการผลิตสารสื่อประสาท Neurotransmitter และช่วยรักษาสุขภาพของเซลล์ประสาท ส่งผลให้ระบบประสาททำงานได้อย่างปกติ
- ต้านอนุมูลอิสระ : วิตามิน B3 มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสียหายจากการออกซิเดชันของเซลล์
- เสริมสร้างการทำงานของผิว : วิตามิน B3 ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากแสงแดด

วิตามินบี 3 ช่วยอะไรบ้าง ?
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ และช่วยในการจดจำ
- ช่วยในการซ่อมแซม DNA และการแบ่งเซลล์
- ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ต้านทานเชื้อโรคได้ดีขึ้น
- ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2
- ช่วยทำให้เกราะป้องกันของผิวแข็งแรงมากขึ้น ลดการสูญเสียน้ำจากผิว
ปริมาณการใช้วิตามิน B3
ปริมาณการใช้วิตามินบี 3 ตามคำแนะนำจากสถาบันโภชนาการและองค์การอนามัยโลก จะแตกต่างกันไปตามอายุ เพศและสุขภาพทั่วไปในแต่ละเคส เช่น
- ผู้ใหญ่ชาย : 16 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ใหญ่หญิง : 14 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์ : 18 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงให้นมบุตร : 17 มิลลิกรัม/วัน
- เด็ก 1-3 ปี : 6 มิลลิกรัม/วัน
- เด็ก 4-8 ปี : 8 มิลลิกรัม/วัน
- เด็ก 9-13 ปี : 12 มิลลิกรัม/วัน
กรณีใช้เพื่อรักษาอาจใช้ในปริมาณสูงกว่า ขึ้นอยู่กับการดูแลของแพทย์ครับ
หากขาดวิตามิน B3 เสี่ยงเกิดโรคหรือไม่ ?
เนื่องจากวิตามินบี 3 เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย หากร่างกายขาดวิตามิน B3 ย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายและอาจเสี่ยงต่อโรคและภาวะต่าง ๆ ดังนี้
- โรคเพลแลกรา (Pellagra) : เป็นโรคที่เกิดจากการขาดวิตามิน B3 เรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการผิวหนังอักเสบ, ท้องเสีย รวมถึงเสี่ยงภาวะความจำเสื่อม หากไม่ได้รับการรักษาก็อาจเสียชีวิตได้
- โรคหัวใจและหลอดเลือด : การขาดวิตามินบี 3 เป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากระดับไขมันเลวในเลือดสูงขึ้น
- โรคเบาหวาน : ความต้านทานต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น ทำให้ควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ยาก
- ความผิดปกติทางจิตเวช : ซึมเศร้า วิตกกังวล และโรคทางจิตเวชอื่น ๆ
- ปัญหาทางผิวหนัง: ผิวแห้ง หยาบกร้าน แพ้ง่าย และเหี่ยวย่น
- ภาวะอักเสบเรื้อรัง: เพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบในร่างกาย
- ปัญหาการนอน : นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท เนื่องจากระบบประสาททำงานผิดปกติ
อาการและสัญญาณเตือนขาดวิตามิน B3
การขาดวิตามิน B3 จะแสดงอาการได้หลายระบบ ดังนี้
- อาการเบื้องต้น : คนไข้จะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าง่าย อ่อนเพลียง่าย สมาธิสั้น และหงุดหงิดง่ายขึ้น
- อาการทางผิวหนัง : มีปัญหาผิวแห้ง หยาบกร้าน มีผื่นแดง
- อาการทางระบบย่อยอาหาร : คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูก และลิ้นบวมแดงบ่อย ๆ
- อาการทางระบบประสาท : ปวดหัว วิงเวียน เดินเซ ความจำเสื่อม และในรายที่รุนแรงอาจเกิดภาวะซึมเศร้าได้ครับ
ใครบ้างเสี่ยงขาดวิตามิน B3 ?
จริง ๆ แล้วความเสี่ยงในการขาดวิตามิน B3 มีไม่สูงมากครับ เพราะมีแหล่งอาหารมากมายที่มีวิตามินบี 3 เป็นส่วนประกอบเช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ถั่ว นม และธัญพืช ซึ่งเป็นอาหารหลักที่คนส่วนใหญ่ได้รับ
แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่มีโอกาสขาดวิตามิน B3 อยู่เช่นกัน ได้แก่
- ผู้รับประทานอาหารไม่เพียงพอ : การรับประทานอาหารที่มีไนอะซินและทริปโตเฟนต่ำ เช่น อาหารที่เน้นข้าวโพดเป็นส่วนประกอบหลัก หรือการได้รับโปรตีนโดยรวมไม่ดี
- ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติ : คนไข้มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้อักเสบ (IBD) หรือภาวะดูดซึมของทางเดินอาหารผิดปกติ
- ผู้ที่ดื่มหนัก ติดสุราเรื้อรัง : การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป จะลดความอยากอาหาร ทำให้มีภาวะขาดสารอาหารได้ รวมถึงส่งผลต่อการได้รับและการดูดซึมวิตามินบี 3
- ผู้ป่วยโรคบางชนิด : เช่น โรคฮาร์ทนัป, กลุ่มอาการคาร์ซินอยด์ หรือการขาดวิตามิน B2, B6 หรือธาตุเหล็ก
- ผู้ที่ใช้ยารักษาบางชนิด : เช่น ไอโซไนอาซิด (Isoniazid) ซึ่งเป็นยาสำหรับวัณโรค อาจทำให้การสังเคราะห์ไนอะซินจากทริปโตเฟนลดลง
แหล่งอาหารของวิตามิน B3 มีอะไรบ้าง ?
วิตามิน B3 พบได้ในอาหารหลากหลายประเภท เช่น
- เนื้อสัตว์ : เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อหมู ตับ และไต มีปริมาณวิตามิน B3 สูง
- ปลาและอาหารทะเล : ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน กุ้ง และปูเป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน B3
- ธัญพืช : ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท และธัญพืชที่เสริมวิตามิน
- ถั่วและเมล็ดธัญพืช : ถั่วลิสง ถั่วเขียว เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดฟักทอง
- ผักและผลไม้ : อะโวคาโด มันฝรั่ง เห็ด และผักใบเขียว
- ของหวานและเครื่องดื่ม : กาแฟและชาเขียวมีปริมาณวิตามิน B3 เล็กน้อย
- อาหารเสริม : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตเฉพาะวิตามิน B3 หรือวิตามินบีรวม
อยากเสริมวิตามิน B3 เสริมวิธีไหนได้บ้าง ?
นอกเหนือจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามิน B3 ในหัวข้อข้างต้น วิธีการเสริมวิตามิน B3 ยังมีอีก 2 วิธีคือ
- อาหารเสริมวิตามิน B3 (Niacinamide) : เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีความต้องการวิตามิน B3 เพิ่มเติม โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการรักษาภาวะขาดวิตามิน B3 (โรคเพลแลกรา) หรือภาวะไขมันในเลือดสูง
- การดริปวิตามินที่มีวิตามิน B3 : มักเป็นสูตร IV Drip ที่มาในรูปแบบของวิตามิน บี คอมเพล็กซ์ (Vitamin B Complex) ประกอบด้วยวิตามินบีหลัก ๆ ทั้ง บี 1, 2, 3, 5, 6, 7, 9 และ 12 โดยจะให้ทางหลอดเลือดดำ เพื่อช่วยบำรุงร่างกายและผิวพรรณ เช่น ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดริ้วรอย ชะลอความแก่ บำรุงระบบประสาท สมอง และภูมิคุ้มกัน
โดยวิตามินบี 3 ในรูปแบบนี้มักอยู่ในรูปอนุพันธ์ของวิตามินบี 3 เช่น NAD+ หรืออยู่ในสูตรผสมกับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดครับ
บทความแนะนำ
สำหรับที่ V Square Wellness Center จะมีสูตรดริปวิตามินที่มีส่วนผสมของวิตามินบีคอมเพล็กซ์รวมทั้งบี 3 เป็นส่วนประกอบหลายสูตร ดังนี้
- สูตร Super Healthy Skin ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น เสริมภูมิต้านทาน ปกป้องผิวจากรังสี UV เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ ผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย เพิ่งเริ่มดูแลผิว ต้องการผิวสุขภาพดี และเสริมภูมิต้านทานให้ผิวแข็งแรง
- สูตร Radiance Plus+ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส ป้องกันฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยยับยั้งเม็ดสี ลดจุดด่างดำ ฟื้นฟูผิวเสื่อมให้ชุ่มชื้น เนียนนุ่ม เหมาะกับผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ มีฝ้า กระ จุดด่างดำ ต้องการมีผิวใส ชุ่มชื้นเป็นธรรมชาติ
- สูตร Perfect White เป็นสูตรงานผิว ผิวขาวใสไว ช่วยลดเม็ดสี ลดผิวคล้ำเสียสะสม ลดจุดด่างดำ ผิวดูเรียบเนียนสม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ที่อยากปรับผิวให้กระจ่างใส อยากเน้นเรื่องผิวไบร์ท
- สูตร Extra Perfect White ช่วยบูสต์ผิวใสเร่งด่วน ลดการสร้างเม็ดสี เสริมผิวแข็งแรงจากภายใน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวคล้ำเสียสะสม ต้องการผิวไบร์ท เสริมภูมิคุ้มกัน
- สูตร Myer’s V Booster ช่วยฟื้นฟูร่างกาย เสริมสมรรถภาพทางร่างกาย สมอง จิตใจ ขาดสารอาหาร เหนื่อย อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ
- สูตร Brain V Booster ช่วยเพิ่มความสามารถของสมองในการซ่อมแซมตัวเองโดยการกระตุ้นการฟื้นฟูของระบบประสาท ช่วยลดความเหนื่อยล้า เพิ่มความสดชื่น พร้อมทำงาน
- สูตร V Anti-Hangover ช่วยเพิ่มความสดชื่น ลดความเหนื่อยล้า ช่วยบรรเทาอาการเมาค้าง ลดอาการอ่อนเพลียและปวดศีรษะ ที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์
- สูตร V Anti-Hangover Plus+ ช่วยเพิ่มความสามารถของสมองในการซ่อมแซมตัวเอง เหมาะกับผู้ที่สมองเหนื่อยล้า ผู้ที่ต้องการตัวช่วยเพิ่มสมาธิ เพิ่มประสิทธิภาพในการรับรู้และความจำ แก้แฮงค์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- สูตร V Anti-Diabetes ช่วยบำรุงระบบประสาท และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ผู้ที่เป็นโรคปลายประสาทอักเสบ ชาตามมือตามเท้า ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณ ชะลอวัย
- สูตร V Anti-Pollution ช่วยฟื้นฟูร่างกายเหมาะกับผู้ที่มีภาวะอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียด สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ มีความเสี่ยงได้รับโลหะหนัก หรือสารเคมีเป็นประจำ หรือตรวจพบสารโลหะหนักในร่างกายจำนวนมาก
ข้อเสียของวิตามินบี 3 มีหรือไม่ อะไรบ้าง ?
ข้อเสียของวิตามินบี 3 (ไนอาซิน) ส่วนใหญ่มาจากการรับประทานมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ ในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้ ความดันโลหิตต่ำ เสียสมดุลของกลูโคส เกิดปัญหาต่อตับ สายตา และ เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ จากการอักเสบของหลอดเลือดครับ
ผลข้างเคียงจากการได้รับวิตามิน B3 มากเกินไป ?
ในกรณีที่พยายามเสริมวิตามินบี 3 มากเกินไป ใช้วิตามิน B3 ในปริมาณสูง ๆ ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางประการได้ครับ เช่น
- อาการทางผิวหนัง เช่น หน้าแดง รู้สึกร้อนวูบวาบ คันตามตัว
- อาการระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ ท้องอืด ท้องเสีย ปวดท้อง
- อาการอื่น ๆ เช่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ตะคริว
หากต้องเสริมวิตามินควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสริมวิตามินบี 3 ครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน หรือโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร รวมถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อประเมินความเหมาะสมและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามิน B3
วิตามิน B3 กินตอนไหน ?
เวลาที่เหมาะสมในการรับประทานวิตามิน B3
- หลังอาหาร : ควรรับประทานหลังอาหาร 30-60 นาที เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหารและเพิ่มการดูดซึม
- ช่วงเช้าหรือกลางวัน : เนื่องจากวิตามิน B3 ช่วยเพิ่มพลังงาน จึงควรรับประทานในช่วงต้นวัน
- หลีกเลี่ยงก่อนนอน : การรับประทานก่อนนอนอาจทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน
- แบ่งปริมาณ : หากรับประทานในปริมาณสูง ควรแบ่งเป็น 2-3 ครั้งต่อวัน เพื่อเพิ่มการดูดซึมและลด Side Effect
- ดื่มน้ำเพียงพอ : ควรดื่มน้ำปริมาณมากพอหลังรับประทาน เพื่อช่วยในการดูดซึมและขับถ่าย
วิตามิน B3 กับ Niacinamide เป็นตัวเดียวกันไหม ทำไมเขียนต่างกัน ?
วิตามิน B3 เป็นชื่อหลักที่รวม 2 รูปแบบ คือ Nicotinic Acid (Niacin) และ Nicotinamide (Niacinamide) ทั้งสองเป็นวิตามิน B3 เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างเล็กน้อย
- Nicotinic Acid (Niacin) : มักใช้ในการรักษาไขมันในเลือดสูง มาในรูปแบบของยา อาหารเสริม ตัวสารอาหาร
- Nicotinamide (Niacinamide) : มักใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
ทั้งสองรูปแบบร่างกายสามารถแปลงไปมาได้ จึงให้ประโยชน์คล้ายกัน
ผู้สูงอายุกินวิตามิน B3 มากกว่าคนหนุ่มสาวได้ไหม จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณไหม ?
การเสริมวิตามินบี 3 ในผู้สูงอายุจำเป็นต้องเพิ่มเล็กน้อย เนื่องจากผู้สูงอายุมีความต้องการวิตามิน B3 สูงกว่าคนหนุ่มสาวตามเหตุผลทางสรีรวิทยา ดังนี้
- การดูดซึมในลำไส้ลดลง
- การทำงานของตับและไตเปลี่ยนแปลง
- ความต้องการพลังงานของเซลล์เพิ่มขึ้นเพื่อซ่อมแซม
- มักมีโรคประจำตัวที่เพิ่มการใช้วิตามิน B3
ปริมาณที่แนะนำ
- คนปกติ : 14-16 มก./วัน
- ผู้สูงอายุ (65+ ปี) : 18-25 มก./วัน
- ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว : อาจต้องการ 30-50 มก./วัน
ข้อควรระวัง
- ควรเริ่มจากปริมาณต่ำและค่อย ๆ เพิ่ม
- ติดตามอาการ Side Effect อย่างใกล้ชิด
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อน โดยเฉพาะผู้ที่กินยาหลายชนิด
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อดูผลของการเสริมวิตามิน
พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์แบบใดควรเสริมวิตามิน B3 บ้าง ?
กลุ่มผู้ที่ควรพิจารณาเสริมวิตามิน B3 หลัก ๆ จะเป็นกลุ่มที่รับประทานไม่สมดุล กินอาหารประจำไม่ครบ 5 หมู่ หรือชอบกินอาหารแปรรูป รวมถึงผู้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ และผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีอยู่เสมอ ผู้ที่สนใจสามารถปรึกษาแพทย์ประเมินสุขภาพและให้แพทย์แนะนำวิตามินและสูตรดริปวิตามินที่เหมาะสมให้ครับ
วิตามิน B3 กับผิวพรรณ มีข้อดีอย่างไร ?
วิตามิน B3 โดยเฉพาะในรูปแบบ Niacinamide มีประโยชน์เป็นอย่างมากกับต่อผิวหนัง ช่วยบำรุงผิวได้หลายด้าน
- เสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง (Skin Barrier)
- ลดการอักเสบและรอยแดงจากสิว
- ควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน
- ลดการสะสมของเมลานิน ลดจุดด่างดำ ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
โดยมีทั้งรูปแบบผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เช่น เซรั่ม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งควรเลือกใช้ในความเข้มข้นที่เหมาะสม และปรึกษาแพทย์หากต้องการรับประทานอาหารเสริมครับ
รีวิวดริปวิตามินผิว ครั้งแรกรู้สึกยังไง ?
วิตามิน B3 ไม่ควรใช้กับอะไร ?
ข้อควรระวังในการใช้วิตามิน B3 ร่วมกับสารอื่น ๆ มีดังนี้
- ยาลดไขมัน (Statins) : การใช้ร่วมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ Myopathy และ Rhabdomyolysis โดยเฉพาะในปริมาณสูง
- ยาเบาหวาน : อาจเพิ่มความต้านทานต่ออินซูลิน ต้องติดตามระดับน้ำตาลในเลือดใกล้ชิด
- ยาลดความดันโลหิต : วิตามิน B3 อาจลดความดันโลหิต ทำให้เกิด Hypotension เมื่อใช้ร่วมกัน
- แอลกอฮอล์ : เพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาตับและลดการดูดซึมวิตามิน B3
- ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร : อาจลดการดูดซึมวิตามิน B3
- อาหารเสริมแคลเซียม : ควรรับประทานห่างกัน 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากอาจขัดขวางการดูดซึม
- กาแฟและชา : ควรดื่มห่างจากการรับประทานวิตามิน B3 เนื่องจากอาจลดการดูดซึม
ขาดวิตามิน B3 เสี่ยงผิวหย่อนคล้อย แก่กว่าวัยจริงไหม ?
การขาดวิตามิน B3 สามารถส่งผลกระทบต่อผิวหนังได้ครับ เนื่องจากทำให้ระบบต้านอนุมูลอิสระของผิวทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เกิดความเสียหายจากการออกซิเดชัน ร่างกายผลิตคอลลาเจนลดลง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย เร่งการแก่ชราเร็วขึ้น
สรุป วิตามิน B3 (Niacin) วิตามินตัวช่วยเพื่อผิวและสุขภาพที่ดี
วิตามิน B3 (Niacin) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวม ทั้งในด้านการเผาผลาญพลังงาน สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพผิวหนัง การได้รับวิตามิน B3 เพียงพอจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพต่าง ๆ และชะลอความแก่ชราได้ครับ
ในทางกลับกันการขาดวิตามิน B3 ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการทำงานภายในร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก โดยเฉพาะการทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วกว่าวัย ดังนั้น การดูแลให้ได้รับวิตามิน B3 เพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และกินอาหารที่มีแหล่งวิตามิน B3 ตามธรรมชาติมากขึ้น หากต้องการดูแลตัวเองให้ดีกว่าเดิม การเสริมวิตามิน B3 ด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงการดริปวิตามินเป็นอีกตัวช่วยที่ดี แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาอื่น ๆ ครับ
อ้างอิง


