คู่มือวิตามิน B3 หรือ Niacin(ไนอาซิน) ช่วยเรื่องอะไร สำคัญอย่างไร เสริมวิธีไหนดี ?

Reading Time: 5 minutes

รู้จักวิตามิน B3 ให้มากขึ้น

คู่มือวิตามิน B3

วิตามิน B3 หรือที่เรียกว่า Niacin (ไนอาซิน) เป็นวิตามินที่ละลายน้ำในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทั้งในด้านการเผาผลาญพลังงาน ระบบประสาท และสุขภาพผิวหนัง

ปัจจุบันวิตามิน b3 ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในวงการแพทย์และความงามครับ เนื่องจากคุณประโยชน์ที่หลากหลายและผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน

สารบัญ วิตามิน B3


วิตามิน B3 คืออะไร ?

วิตามิน B3 (Niacin หรือ Nicotinic Acid) เป็นวิตามินจำเป็น (Essential Vitamin) ที่ร่างกายสร้างได้จาก กรดอะมิโน ทริปโตเฟน (Tryptophan) แต่ก็ไม่เพียงพอต่อร่างกาย จึงต้องได้รับเพิ่มจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงการดริปวิตามินสูตรต่าง ๆ ที่มีวิตามินบี 3 เป็นส่วนประกอบ

วิตามิน B3

วิตามิน B3 มีสองรูปแบบหลักคือ Nicotinic Acid (กรดนิโคตินิก) และ Nicotinamide (Niacinamide-ไนอะซินาไมด์) โดยทั้งสองรูปแบบจะถูกแปลงเป็น NAD (Nicotinamide Adenine Dinucleotide) และ NADP (Nicotinamide Adenine Dinucleotide Phosphate) ซึ่งเป็น Coenzyme (โคเอนไซม์) ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเซลล์ในร่างกาย เพื่อเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน บำรุงระบบประสาท และระบบทางเดินอาหาร

บทความแนะนำ

รวมประโยชน์ของวิตามิน B3

บทบาทสำคัญของวิตามิน B3 ในร่างกายนับว่ามีประโยชน์หลากหลายครับ เช่น

  • ช่วยการเผาผลาญพลังงาน : วิตามิน B3 เป็นองค์ประกอบสำคัญของ Coenzyme NAD และ NADP ที่มีหน้าที่ในการแปลงคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเป็นพลังงาน ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ประโยชน์สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด : มีการศึกษาทางการแพทย์พบว่า วิตามิน B3 ช่วยลดระดับไขมันเลวในเลือด (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) อีกทั้งยังช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
  • ประโยชน์ระบบประสาท : วิตามิน B3 มีบทบาทในการผลิตสารสื่อประสาท Neurotransmitter และช่วยรักษาสุขภาพของเซลล์ประสาท ส่งผลให้ระบบประสาททำงานได้อย่างปกติ
  • ต้านอนุมูลอิสระ : วิตามิน B3 มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสียหายจากการออกซิเดชันของเซลล์
  • เสริมสร้างการทำงานของผิว : วิตามิน B3 ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากแสงแดด
ประโยชน์วิตามิน B3

วิตามินบี 3 ช่วยอะไรบ้าง ?

  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ และช่วยในการจดจำ
  • ช่วยในการซ่อมแซม DNA และการแบ่งเซลล์
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ต้านทานเชื้อโรคได้ดีขึ้น
  • ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2
  • ช่วยทำให้เกราะป้องกันของผิวแข็งแรงมากขึ้น ลดการสูญเสียน้ำจากผิว

ปริมาณการใช้วิตามิน B3

ปริมาณการใช้วิตามินบี 3 ตามคำแนะนำจากสถาบันโภชนาการและองค์การอนามัยโลก จะแตกต่างกันไปตามอายุ เพศและสุขภาพทั่วไปในแต่ละเคส เช่น

  • ผู้ใหญ่ชาย : 16 มิลลิกรัม/วัน
  • ผู้ใหญ่หญิง : 14 มิลลิกรัม/วัน
  • หญิงตั้งครรภ์ : 18 มิลลิกรัม/วัน
  • หญิงให้นมบุตร : 17 มิลลิกรัม/วัน
  • เด็ก 1-3 ปี : 6 มิลลิกรัม/วัน
  • เด็ก 4-8 ปี : 8 มิลลิกรัม/วัน
  • เด็ก 9-13 ปี : 12 มิลลิกรัม/วัน

กรณีใช้เพื่อรักษาอาจใช้ในปริมาณสูงกว่า ขึ้นอยู่กับการดูแลของแพทย์ครับ


หากขาดวิตามิน B3 เสี่ยงเกิดโรคหรือไม่ ?

เนื่องจากวิตามินบี 3 เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย หากร่างกายขาดวิตามิน B3 ย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายและอาจเสี่ยงต่อโรคและภาวะต่าง ๆ ดังนี้

  • โรคเพลแลกรา (Pellagra) : เป็นโรคที่เกิดจากการขาดวิตามิน B3 เรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการผิวหนังอักเสบ, ท้องเสีย รวมถึงเสี่ยงภาวะความจำเสื่อม หากไม่ได้รับการรักษาก็อาจเสียชีวิตได้
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด : การขาดวิตามินบี 3 เป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากระดับไขมันเลวในเลือดสูงขึ้น
  • โรคเบาหวาน : ความต้านทานต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น ทำให้ควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ยาก
  • ความผิดปกติทางจิตเวช : ซึมเศร้า วิตกกังวล และโรคทางจิตเวชอื่น ๆ
  • ปัญหาทางผิวหนัง: ผิวแห้ง หยาบกร้าน แพ้ง่าย และเหี่ยวย่น
  • ภาวะอักเสบเรื้อรัง: เพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบในร่างกาย
  • ปัญหาการนอน : นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท เนื่องจากระบบประสาททำงานผิดปกติ

อาการและสัญญาณเตือนขาดวิตามิน B3

การขาดวิตามิน B3 จะแสดงอาการได้หลายระบบ ดังนี้

  • อาการเบื้องต้น : คนไข้จะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าง่าย อ่อนเพลียง่าย สมาธิสั้น และหงุดหงิดง่ายขึ้น
  • อาการทางผิวหนัง : มีปัญหาผิวแห้ง หยาบกร้าน มีผื่นแดง
  • อาการทางระบบย่อยอาหาร : คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูก และลิ้นบวมแดงบ่อย ๆ
  • อาการทางระบบประสาท : ปวดหัว วิงเวียน เดินเซ ความจำเสื่อม และในรายที่รุนแรงอาจเกิดภาวะซึมเศร้าได้ครับ

ใครบ้างเสี่ยงขาดวิตามิน B3 ?

จริง ๆ แล้วความเสี่ยงในการขาดวิตามิน B3 มีไม่สูงมากครับ เพราะมีแหล่งอาหารมากมายที่มีวิตามินบี 3 เป็นส่วนประกอบเช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ถั่ว นม และธัญพืช ซึ่งเป็นอาหารหลักที่คนส่วนใหญ่ได้รับ
แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่มีโอกาสขาดวิตามิน B3 อยู่เช่นกัน ได้แก่

  • ผู้รับประทานอาหารไม่เพียงพอ : การรับประทานอาหารที่มีไนอะซินและทริปโตเฟนต่ำ เช่น อาหารที่เน้นข้าวโพดเป็นส่วนประกอบหลัก หรือการได้รับโปรตีนโดยรวมไม่ดี
  • ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติ : คนไข้มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้อักเสบ (IBD) หรือภาวะดูดซึมของทางเดินอาหารผิดปกติ
  • ผู้ที่ดื่มหนัก ติดสุราเรื้อรัง : การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป จะลดความอยากอาหาร ทำให้มีภาวะขาดสารอาหารได้ รวมถึงส่งผลต่อการได้รับและการดูดซึมวิตามินบี 3
  • ผู้ป่วยโรคบางชนิด : เช่น โรคฮาร์ทนัป, กลุ่มอาการคาร์ซินอยด์ หรือการขาดวิตามิน B2, B6 หรือธาตุเหล็ก
  • ผู้ที่ใช้ยารักษาบางชนิด : เช่น ไอโซไนอาซิด (Isoniazid) ซึ่งเป็นยาสำหรับวัณโรค อาจทำให้การสังเคราะห์ไนอะซินจากทริปโตเฟนลดลง

แหล่งอาหารของวิตามิน B3 มีอะไรบ้าง ?

แหล่งอาหารวิตามิน B3

วิตามิน B3 พบได้ในอาหารหลากหลายประเภท เช่น

  • เนื้อสัตว์ : เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อหมู ตับ และไต มีปริมาณวิตามิน B3 สูง
  • ปลาและอาหารทะเล : ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน กุ้ง และปูเป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน B3
  • ธัญพืช : ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท และธัญพืชที่เสริมวิตามิน
  • ถั่วและเมล็ดธัญพืช : ถั่วลิสง ถั่วเขียว เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดฟักทอง
  • ผักและผลไม้ : อะโวคาโด มันฝรั่ง เห็ด และผักใบเขียว
  • ของหวานและเครื่องดื่ม : กาแฟและชาเขียวมีปริมาณวิตามิน B3 เล็กน้อย
  • อาหารเสริม : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตเฉพาะวิตามิน B3 หรือวิตามินบีรวม

อยากเสริมวิตามิน B3 เสริมวิธีไหนได้บ้าง ?

นอกเหนือจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามิน B3 ในหัวข้อข้างต้น วิธีการเสริมวิตามิน B3 ยังมีอีก 2 วิธีคือ

  1. อาหารเสริมวิตามิน B3 (Niacinamide) : เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีความต้องการวิตามิน B3 เพิ่มเติม โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการรักษาภาวะขาดวิตามิน B3 (โรคเพลแลกรา) หรือภาวะไขมันในเลือดสูง
  2. การดริปวิตามินที่มีวิตามิน B3 : มักเป็นสูตร IV Drip ที่มาในรูปแบบของวิตามิน บี คอมเพล็กซ์ (Vitamin B Complex) ประกอบด้วยวิตามินบีหลัก ๆ ทั้ง บี 1, 2, 3, 5, 6, 7, 9 และ 12 โดยจะให้ทางหลอดเลือดดำ เพื่อช่วยบำรุงร่างกายและผิวพรรณ เช่น ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดริ้วรอย ชะลอความแก่ บำรุงระบบประสาท สมอง และภูมิคุ้มกัน
ฉีดสลายฟิลเลอร์ - 20

โดยวิตามินบี 3 ในรูปแบบนี้มักอยู่ในรูปอนุพันธ์ของวิตามินบี 3 เช่น NAD+ หรืออยู่ในสูตรผสมกับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดครับ

บทความแนะนำ

สำหรับที่ V Square Wellness Center จะมีสูตรดริปวิตามินที่มีส่วนผสมของวิตามินบีคอมเพล็กซ์รวมทั้งบี 3 เป็นส่วนประกอบหลายสูตร ดังนี้

  • สูตร Super Healthy Skin ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น เสริมภูมิต้านทาน ปกป้องผิวจากรังสี UV เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ ผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย เพิ่งเริ่มดูแลผิว ต้องการผิวสุขภาพดี และเสริมภูมิต้านทานให้ผิวแข็งแรง
  • สูตร Radiance Plus+ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส ป้องกันฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยยับยั้งเม็ดสี ลดจุดด่างดำ ฟื้นฟูผิวเสื่อมให้ชุ่มชื้น เนียนนุ่ม เหมาะกับผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ มีฝ้า กระ จุดด่างดำ ต้องการมีผิวใส ชุ่มชื้นเป็นธรรมชาติ
  • สูตร Perfect White เป็นสูตรงานผิว ผิวขาวใสไว ช่วยลดเม็ดสี ลดผิวคล้ำเสียสะสม ลดจุดด่างดำ ผิวดูเรียบเนียนสม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ที่อยากปรับผิวให้กระจ่างใส อยากเน้นเรื่องผิวไบร์ท
  • สูตร Extra Perfect White ช่วยบูสต์ผิวใสเร่งด่วน ลดการสร้างเม็ดสี เสริมผิวแข็งแรงจากภายใน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวคล้ำเสียสะสม ต้องการผิวไบร์ท เสริมภูมิคุ้มกัน
  • สูตร Myer’s V Booster ช่วยฟื้นฟูร่างกาย เสริมสมรรถภาพทางร่างกาย สมอง จิตใจ ขาดสารอาหาร เหนื่อย อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • สูตร Brain V Booster ช่วยเพิ่มความสามารถของสมองในการซ่อมแซมตัวเองโดยการกระตุ้นการฟื้นฟูของระบบประสาท ช่วยลดความเหนื่อยล้า เพิ่มความสดชื่น พร้อมทำงาน
  • สูตร V Anti-Hangover ช่วยเพิ่มความสดชื่น ลดความเหนื่อยล้า ช่วยบรรเทาอาการเมาค้าง ลดอาการอ่อนเพลียและปวดศีรษะ ที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์
  • สูตร V Anti-Hangover Plus+ ช่วยเพิ่มความสามารถของสมองในการซ่อมแซมตัวเอง เหมาะกับผู้ที่สมองเหนื่อยล้า ผู้ที่ต้องการตัวช่วยเพิ่มสมาธิ เพิ่มประสิทธิภาพในการรับรู้และความจำ แก้แฮงค์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • สูตร V Anti-Diabetes ช่วยบำรุงระบบประสาท และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ผู้ที่เป็นโรคปลายประสาทอักเสบ ชาตามมือตามเท้า ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณ ชะลอวัย
  • สูตร V Anti-Pollution ช่วยฟื้นฟูร่างกายเหมาะกับผู้ที่มีภาวะอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียด สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ มีความเสี่ยงได้รับโลหะหนัก หรือสารเคมีเป็นประจำ หรือตรวจพบสารโลหะหนักในร่างกายจำนวนมาก

ข้อเสียของวิตามินบี 3 มีหรือไม่ อะไรบ้าง ?

ข้อเสียของวิตามินบี 3 (ไนอาซิน) ส่วนใหญ่มาจากการรับประทานมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ ในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้ ความดันโลหิตต่ำ เสียสมดุลของกลูโคส เกิดปัญหาต่อตับ สายตา และ เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ จากการอักเสบของหลอดเลือดครับ


ผลข้างเคียงจากการได้รับวิตามิน B3 มากเกินไป ?

ในกรณีที่พยายามเสริมวิตามินบี 3 มากเกินไป ใช้วิตามิน B3 ในปริมาณสูง ๆ ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางประการได้ครับ เช่น

  • อาการทางผิวหนัง เช่น หน้าแดง รู้สึกร้อนวูบวาบ คันตามตัว
  • อาการระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ ท้องอืด ท้องเสีย ปวดท้อง
  • อาการอื่น ๆ เช่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ตะคริว

หากต้องเสริมวิตามินควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสริมวิตามินบี 3 ครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน หรือโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร รวมถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อประเมินความเหมาะสมและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น


FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามิน B3

วิตามิน B3 กินตอนไหน ?

เวลาที่เหมาะสมในการรับประทานวิตามิน B3

  • หลังอาหาร : ควรรับประทานหลังอาหาร 30-60 นาที เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหารและเพิ่มการดูดซึม
  • ช่วงเช้าหรือกลางวัน : เนื่องจากวิตามิน B3 ช่วยเพิ่มพลังงาน จึงควรรับประทานในช่วงต้นวัน
  • หลีกเลี่ยงก่อนนอน : การรับประทานก่อนนอนอาจทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน
  • แบ่งปริมาณ : หากรับประทานในปริมาณสูง ควรแบ่งเป็น 2-3 ครั้งต่อวัน เพื่อเพิ่มการดูดซึมและลด Side Effect
  • ดื่มน้ำเพียงพอ : ควรดื่มน้ำปริมาณมากพอหลังรับประทาน เพื่อช่วยในการดูดซึมและขับถ่าย

วิตามิน B3 กับ Niacinamide เป็นตัวเดียวกันไหม ทำไมเขียนต่างกัน ?

วิตามิน B3 เป็นชื่อหลักที่รวม 2 รูปแบบ คือ Nicotinic Acid (Niacin) และ Nicotinamide (Niacinamide) ทั้งสองเป็นวิตามิน B3 เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างเล็กน้อย

  • Nicotinic Acid (Niacin) : มักใช้ในการรักษาไขมันในเลือดสูง มาในรูปแบบของยา อาหารเสริม ตัวสารอาหาร
  • Nicotinamide (Niacinamide) : มักใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

ทั้งสองรูปแบบร่างกายสามารถแปลงไปมาได้ จึงให้ประโยชน์คล้ายกัน

ผู้สูงอายุกินวิตามิน B3 มากกว่าคนหนุ่มสาวได้ไหม จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณไหม ?

การเสริมวิตามินบี 3 ในผู้สูงอายุจำเป็นต้องเพิ่มเล็กน้อย เนื่องจากผู้สูงอายุมีความต้องการวิตามิน B3 สูงกว่าคนหนุ่มสาวตามเหตุผลทางสรีรวิทยา ดังนี้

  • การดูดซึมในลำไส้ลดลง
  • การทำงานของตับและไตเปลี่ยนแปลง
  • ความต้องการพลังงานของเซลล์เพิ่มขึ้นเพื่อซ่อมแซม
  • มักมีโรคประจำตัวที่เพิ่มการใช้วิตามิน B3

ปริมาณที่แนะนำ

  • คนปกติ : 14-16 มก./วัน
  • ผู้สูงอายุ (65+ ปี) : 18-25 มก./วัน
  • ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว : อาจต้องการ 30-50 มก./วัน

ข้อควรระวัง

  • ควรเริ่มจากปริมาณต่ำและค่อย ๆ เพิ่ม
  • ติดตามอาการ Side Effect อย่างใกล้ชิด
  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อน โดยเฉพาะผู้ที่กินยาหลายชนิด
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อดูผลของการเสริมวิตามิน

พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์แบบใดควรเสริมวิตามิน B3 บ้าง ?

กลุ่มผู้ที่ควรพิจารณาเสริมวิตามิน B3 หลัก ๆ จะเป็นกลุ่มที่รับประทานไม่สมดุล กินอาหารประจำไม่ครบ 5 หมู่ หรือชอบกินอาหารแปรรูป รวมถึงผู้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ และผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีอยู่เสมอ ผู้ที่สนใจสามารถปรึกษาแพทย์ประเมินสุขภาพและให้แพทย์แนะนำวิตามินและสูตรดริปวิตามินที่เหมาะสมให้ครับ

วิตามิน B3 กับผิวพรรณ มีข้อดีอย่างไร ?

วิตามิน B3 โดยเฉพาะในรูปแบบ Niacinamide มีประโยชน์เป็นอย่างมากกับต่อผิวหนัง ช่วยบำรุงผิวได้หลายด้าน

  • เสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง (Skin Barrier)
  • ลดการอักเสบและรอยแดงจากสิว
  • ควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน
  • ลดการสะสมของเมลานิน ลดจุดด่างดำ ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

โดยมีทั้งรูปแบบผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เช่น เซรั่ม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งควรเลือกใช้ในความเข้มข้นที่เหมาะสม และปรึกษาแพทย์หากต้องการรับประทานอาหารเสริมครับ

รีวิวดริปวิตามินผิว ครั้งแรกรู้สึกยังไง ?

วิตามิน B3 ไม่ควรใช้กับอะไร ?

ข้อควรระวังในการใช้วิตามิน B3 ร่วมกับสารอื่น ๆ มีดังนี้

  1. ยาลดไขมัน (Statins) : การใช้ร่วมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ Myopathy และ Rhabdomyolysis โดยเฉพาะในปริมาณสูง
  2. ยาเบาหวาน : อาจเพิ่มความต้านทานต่ออินซูลิน ต้องติดตามระดับน้ำตาลในเลือดใกล้ชิด
  3. ยาลดความดันโลหิต : วิตามิน B3 อาจลดความดันโลหิต ทำให้เกิด Hypotension เมื่อใช้ร่วมกัน
  4. แอลกอฮอล์ : เพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาตับและลดการดูดซึมวิตามิน B3
  5. ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร : อาจลดการดูดซึมวิตามิน B3
  6. อาหารเสริมแคลเซียม : ควรรับประทานห่างกัน 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากอาจขัดขวางการดูดซึม
  7. กาแฟและชา : ควรดื่มห่างจากการรับประทานวิตามิน B3 เนื่องจากอาจลดการดูดซึม

ขาดวิตามิน B3 เสี่ยงผิวหย่อนคล้อย แก่กว่าวัยจริงไหม ?

การขาดวิตามิน B3 สามารถส่งผลกระทบต่อผิวหนังได้ครับ เนื่องจากทำให้ระบบต้านอนุมูลอิสระของผิวทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เกิดความเสียหายจากการออกซิเดชัน ร่างกายผลิตคอลลาเจนลดลง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย เร่งการแก่ชราเร็วขึ้น


สรุป วิตามิน B3 (Niacin) วิตามินตัวช่วยเพื่อผิวและสุขภาพที่ดี

วิตามิน B3 (Niacin) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวม ทั้งในด้านการเผาผลาญพลังงาน สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพผิวหนัง การได้รับวิตามิน B3 เพียงพอจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพต่าง ๆ และชะลอความแก่ชราได้ครับ

ในทางกลับกันการขาดวิตามิน B3 ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการทำงานภายในร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก โดยเฉพาะการทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วกว่าวัย ดังนั้น การดูแลให้ได้รับวิตามิน B3 เพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และกินอาหารที่มีแหล่งวิตามิน B3 ตามธรรมชาติมากขึ้น หากต้องการดูแลตัวเองให้ดีกว่าเดิม การเสริมวิตามิน B3 ด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงการดริปวิตามินเป็นอีกตัวช่วยที่ดี แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาอื่น ๆ ครับ


อ้างอิง


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ
ปรึกษาหมอ
บทความแนะนำ

ดฟิลเลอร์ยกมุมปาก คืออะไร ? อันตราย ? เปลี่ยนหน้าบึ้งให้สดใส เลือกที่ไหนดี ?

Reading Time: 3 minutesฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก ให้ใบหน้าดูสดใส และอ่อนเยาว์ขึ้น เป็นหนึ่งในวิธียกมุมปากที่ได้รับความนิยมมากในตอนนี้ครับ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหามุมปากตก ทำให้ใบหน้าเศร้า ดูบึ้งตึง ทั้งยังเป็นหนึ่งในสัญญาณของวัยที่มากขึ้น สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธียกมุมปากและสนใจการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก บทความนี้หมอได้รวมข้อมูลที่ควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์

December 15, 2025 อ่านต่อ

ข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ ที่ควรรู้ เพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่...

Reading Time: 5 minutesเพื่อให้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพ เห็นผลได้อย่างเต็มที่ การดูแลตัวเองหลังฉีด Filler นับว่ามีส่วนสำคัญมาก ๆ ครับ อะไรที่ต้องระวัง ? หลังฉีดฟิลเลอร์มีข้อปฏิบัติอะไรบ้าง ? หลังฉีดฟิลเลอร์ห้ามกินอะไร ? หลังฉีดเสร็จทันทีเป็นอย่างไร ? ใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ? สวีเดน อเมริกา ต่างกันอย่าง...

Reading Time: 4 minutesปัญหาใต้ตาหลาย ๆ แบบสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาครับ เช่น ร่องน้ำตา ตาลึก ตาโหล ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา แต่จะเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี ? ที่จะแก้ปัญหาใต้ตาได้ตรงจุด หมอมีแนวทางการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับบริเวณใต้ตามาแนะนำครับ

โบท็อก BOTULAX สัญชาติเกาหลี ดีอย่างไร ราคาแพงแค่ไหน ?

Reading Time: 5 minutesโบท็อกในปัจจุบันมีอยู่หลายยี่ห้อครับ แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกัน Botox Botulax เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความสนใจ และนิยมนำมาใช้เป็นอันดับต้น ๆ ในบทความนี้หมอจะอธิบายว่า Botulax ดีไหม ดีอย่างไร? ทำไม Botox Botulax ถึงได้รับความนิยม Botulax 100 U, Botulax 200 U แตกต่างกันอย่างไร?

Botox Allergan คืออะไร ? ดีอย่างไร ? allergan botox 50 – ...

Reading Time: 6 minutes Allergan คืออะไร ? ราคาเท่าไร ? ต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร ? เนื้อหาในบทความนี้ หมอมีข้อมูลเกี่ยวกับ โบท็อกยี่ห้อ Allergan มาแนะนำครับ พร้อมบอกข้อดี ข้อเสีย เปรียบเทียบแบบต่าง ๆ ที่ควรรู้ และโบท็อก Allergan ของแท้ดูอย่างไร ? สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน ? หลังฉีดมีข้อปฏิบัติตัวอย่...

Reading Time: 5 minutesหลายคนที่มีร่องแก้มลึก มักเลือกแก้ปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่กังวลคือ หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน ? เพราะกลัวว่าฉีดแล้วจะบวมเกินจนกลายเป็นก้อน ทำให้ต้องพักหน้าหลายวัน ใครที่กังวล หมอจะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดในบทความนี้ครับ ตั้งแต่ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน ?

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ สามารถศึกษานโยบายความเป็นส่วนตัวและจัดการความเป็นส่วนตัว ได้ที่ปุ่มตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า