Sculptra vs Radiesse
Sculptra vs Radiesse เลือกตัวไหนดี ? หากต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอยบนใบหน้า ด้วยวิธีทางการแพทย์ หลายคนอาจลังเลระหว่าง 2 ตัวนี้ครับ เพราะเป็นหัตถการกลุ่มงานผิว ที่ฉีดแล้วผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 2 ปีทั้งคู่
ฉีด Sculptra และ Radiesse ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร ? ฉีดร่วมกันได้ไหม ? ทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้หรือไม่ ? หมอสรุปไว้ให้แล้วครับ
สารบัญ Sculptra vs Radiesse
Sculptra vs Radiesse คืออะไร เหมือนกันอย่างไร ?
Sculptra และ Radiesse มักถูกยกมาเปรียบเทียบกันบ่อย ๆ ครับ เพราะทั้งสองเป็นหัตถการงานผิว กลุ่มฉีดสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Biostimulator) เหมือนกัน
เมื่อฉีดเข้าไปใต้ผิว จะกระตุ้นให้เกิดการสร้าง Collagen และอีลาสตินเพิ่มขึ้น ทดแทนที่ร่างกายสูญเสียไป ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เติมร่องริ้วรอย ปรับผิวให้เฟิร์ม ผิวหนาขึ้น รวมถึงฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรง สุขภาพดี
จุดเด่นอีกอย่างของงานผิว 2 ตัวนี้ คือ เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินที่เกิดขึ้นจะมาจากร่างกายของเราเองทั้งหมดครับ จึงให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานถึง 2 ปี เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาเข้าคลินิกความงามบ่อย ๆ แต่ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันที่ส่วนประกอบสำคัญ กลไกการทำงาน และรายละเอียดอื่น ๆ ครับ หมอจะอธิบายให้ฟังทีละตัว
Sculptra นวัตกรรมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จาก Galderma
Sculptra ใช้สาร PLLA (Poly-L-Lactic acid) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติตัวแรกของโลก (The First & Original Collagen Biostimulator) ทำงานผ่านระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวชั้นลึก จะส่งสัญญาณไปที่เซลล์เม็ดเลือดขาว Macrophage กระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างต่อเนื่อง
งานวิจัยพบว่า Sculptra กระตุ้นการสร้าง Collagen Type I ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างผิว ได้ถึง 66.5% ช่วยฟื้นฟูและทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงในะระยะยาว ยกกระชับผิวหย่อนคล้อย ปรับผิวให้แน่น อิ่มฟู ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 2 ปีครับ
สาร PLLA ของ Sculptra ผ่านกระบวนการผลิตสิทธิบัตรเฉพาะของ Galderma ได้เป็นอนุภาค PLLA-SCA ที่ฉีดเข้าชั้นผิวได้อย่างปลอดภัย นิยมฉีดที่ขมับ หน้าแก้ม กรอบหน้า แต่ไม่แนะนำให้ฉีดบริเวณ T-Zone ครับ
ผลลัพธ์หลังฉีด Sculptra จะค่อยเป็นค่อยไปครับ ตามปริมาณคอลลาเจนที่ชั้นผิวสร้างขึ้น เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 2-3 สัปดาห์ และชัดเจนใน 3 เดือน
Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิว หรือคาดหวังผลลัพธ์ ดังนี้
- ผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้น สังเกตเห็นริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้าได้ชัด ต้องการผลลัพธ์ที่เร็วกว่าการใช้สกินแคร์และเรตินอล
- ผู้ที่ผิวหย่อนคล้อย แก้มและเหนียงใต้คางห้อย ต้องการยกกระชับ ปรับผิวให้เฟิร์ม
- ผู้ที่ผิวขาดการบำรุงเป็นเวลานาน ผิวแพ้ง่าย ต้องการฟื้นฟูและเสริมเกราะให้ผิวแข็งแรงจากภายใน
- ผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี ต้องการคงความอ่อนเยาว์อยู่เสมอ เพิ่มคุณภาพผิว ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต
- ผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์, ทำ Ulthera, Hifu, Thermage, ร้อยไหม หรือศัลยกรรมดึงหน้า ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการยกกระชับ และให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานมากขึ้น
ก่อนฉีด Sculptra มีแปะยาชาครับ คนไข้อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือไม่เจ็บเลย ใช้เข็มขนาดเล็ก ฉีดตามทิศทางที่ช่วยยกกระชับใบหน้า เพื่อให้เกิดการยกพยุงผิวขึ้น เมื่อฉีดเสร็จแล้ว หมอจะนวดหน้า เพื่อให้ยากระจายตัวได้ทั่วถึง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากที่สุด
ในช่วงแรกหมอแนะนำให้ฉีด 2-3 ครั้ง ห่างกันทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อปรับสภาพผิว เมื่อสร้างคอลลาเจนเต็มที่แล้ว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปีครับ แต่ถ้าฉีดครั้งเดียว ไม่ฉีดซ้ำ อยู่ได้นาน 2-4 เดือน
Radiesse นวัตกรรมกระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายผิว จาก Merz Aesthetics
Radiesse Filler เป็นนวัตกรรมฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม (Regenerative Biostimulator) ใช้สาร CaHA (Calcium Hydroxylapatite microsphere) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในเนื้อเยื่อกระดูก ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อต้าน มีความปลอดภัย และย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ คิดค้นและวิจัยโดย Merz Aesthetics
สาร CaHA จะเข้าไปฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ Fibroblast กระตุ้นการสร้างเส้นใยตาข่ายผิวใหม่ถึง 5 ประการ ได้แก่ Collagen Type I, Collagen Type III, Elastin, หลอดเลือดเล็ก ๆ (Angiogenesis) และสารหล่อเลี้ยงผิว (Proteoglycan) ปรับให้ผิวแน่นกระชับ ยืดหยุ่น เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวอมชมพูมีเลือดฝาด และเติม Volume ให้ใบหน้า
Radiesse จะฉีดบริเวณหน้าแก้ม ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก เพื่อเติมร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น ฉีดยกกระชับบริเวณกรอบหน้าและคาง นอกจากนี้สามารถฉีดบริเวณลำคอและหลังมือ เพิ่มความชุ่มชื้น ลดรอยเหี่ยวย่นได้อีกด้วย ไม่แนะนำให้ฉีด Radiesse ระหว่างคิ้ว จมูก รอบดวงตา ริ้วรอยรอบ ๆ ปาก และริมฝีปากครับ
หลังฉีด Radiesse จะเข้าไปเติมเต็มร่องริ้วรอย ยกกระชับผิว เห็นการเปลี่ยนแปลงทันที และผลลัพธ์เต็มที่ใน 3-6 เดือน เมื่อมีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ผิวจะอิ่มฟู กระชับ และฉ่ำวาว อยู่ได้นาน 12-24 เดือน
Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิว หรือคาดหวังผลลัพธ์ ดังนี้
- ผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึกตามช่วงวัย เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ผิวหนังหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
- ผู้ที่ใบหน้าขาด Volume ขมับตอบ แก้มตอบ ผิวหนังยุบลง ต้องการปรับผิวให้อิ่มฟู
- ผู้ที่ผิวหน้าแห้ง ขาดความยืดหยุ่น รูขุมขนกว้าง ต้องการปรับผิวให้อิ่มน้ำ ฉ่ำเด้ง Glass Skin
- ผู้ที่ผิวไม่เรียบเนียน มีรอยแผลเป็น รอยบุ๋มที่ผิวหนัง มีหลุมสิวตื้น ๆ ต้องการรักษาหลุมสิว
- ผู้ที่อายุ 30 ปีขึ้นไป ต้องการใบหน้าอ่อนเยาว์ ผิวอมชมพูมีเลือดฝาด ผิวเนียนเด้งเหมือนผิวเด็ก
ก่อนฉีด Radiesse มีการแปะยาชาให้ครับ และในตัวยามีส่วนผสมของยาชา หมอจะฉีดตามแนวทิศทางที่ช่วยยกกระชับ และบริเวณรอยพับที่ต้องการเติมเต็ม คนไข้อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือไม่เจ็บเลย แนะนำให้ฉีด 1-3 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน
Sculptra vs Radiesse ต่างกันอย่างไร ?
หมอได้ทำตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Sculptra และ Radiesse เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นครับ
Sculptra vs Radiesse ฉีดตัวไหนดี พิจารณาจากปัจจัยใด ?
Sculptra vs Radiesse เลือกตัวไหนดี ? ขึ้นอยู่กับปัญหาที่คนไข้กังวลใจ และผลลัพธ์ที่คาดหวังหลังทำครับ สามารถปรึกษากับหมอก่อนได้ ร่วมกับพิจารณาปัจจัยเหล่านี้
- ปัญหาของคนไข้ Sculptra เด่นในเรื่องการฟื้นฟูโครงสร้างผิวเดิม เหมาะกับคนไข้ที่มีปัญหาจากชั้นไขมัน และเนื้อเยื่อ ผิวย้วย ไม่เฟิร์ม แต่ถ้ามีปัญหาจากชั้นกระดูก ริ้วรอยร่องลึก หน้าขาด Volume จะเหมาะกับ Radiesse ครับ
- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ถ้าต้องการให้ผิวอ่อนเยาว์เหมือนผิวเด็ก โครงสร้างผิวแข็งแรง สามารถใช้ได้ทั้ง 2 หัตถการครับ
- การดูแลตัวเองหลังฉีด หลังฉีดทั้ง 2 หัตถการมีแนวทางดูแลตัวเองใกล้เคียงกันครับ เช่น งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงแสงแดด แต่ Sculptra จะเพิ่มขั้นตอนการนวดหน้าตามเทคนิค Triple 5 เพื่อให้ยากระจายตัวทั่วใบหน้า
Sculptra vs Radiesse ฉีดร่วมกันได้ไหม ?
Sculptra และ Radiesse ฉีดร่วมกันได้ครับ และฉีดพร้อมกันได้ในกรณีที่ฉีดคนละตำแหน่ง คนละชั้นผิว ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยทั่วไปหากฉีด Sculptra หรือ Biostimulator ตัวอื่น ๆ มาก่อน แนะนำให้เว้น 3-6 เดือนขึ้นไป ก่อนฉีด Radiesse ครับ
Sculptra vs Radiesse ฉีดร่วมกับ Skin Booster ตัวอื่นได้ไหม ?
ทั้ง Sculptra และ Radiesse ทำร่วมกับเครื่องยกกระชับและ Skin Booster ตัวอื่นได้ครับ แต่ต้องเว้นระยะเวลาให้เหมาะสม
ยกตัวอย่าง ใครที่มีปัญหาผิวไม่มาก เน้นเพิ่มความกระจ่างใส ปรับผิวให้เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ จะนิยมฉีดเมโสหน้าใส และเมโสหลุมสิว ถ้าอยากชะลอความเสื่อมของผิว กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ คอลลาเจนและอีลาสตินจะเป็น Exosome และ Gouri งานผิวแต่ละตัวมีส่วนผสมหลัก และกลไกการทำงานต่างกันครับ แนะนำให้ประเมินใบหน้าและวางแผนการรักษากับแพทย์มากประสบการณ์ก่อน
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดเมโสหน้าใสยี่ห้อไหนดี ? แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นอย่างไร ?
Sculptra vs Radiesse ราคาเท่าไหร่ ?
ราคา Sculptra และ Radiesse ในแต่ละคลินิกความงามจะขึ้นอยู่โปรโมชันช่วงนั้น ๆ ครับ สำหรับราคาทั้ง 2 หัตถการที่ V Square Clinic มีรายละเอียด ดังนี้
Sculptra จำนวน 1 ขวด (ฉีดได้ 10 CC) ราคาเริ่มต้น 2x,xxx บาท
Radiesse จัดโปร 2 กล่อง ราคา 5x,xxx บาท
สรุปเกี่ยวกับ Sculptra vs Radiesse
Sculptra vs Radiesse เลือกอันไหนดี ? ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว และความคาดหวังของคนไข้ครับ Sculptra จะเหมาะกับผู้ที่ผิวขาดการบำรุงเป็นเวลานาน ต้องการกระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก เสริมเกราะให้ผิวแข็งแรง ส่วน Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึก ผิวขาดความชุ่มชื้น ต้องการผิวฉ่ำเด้ง อมชมพู มีเลือดฝาด
ที่ V Square Clinic มีให้บริการทั้ง 2 หัตถการครับ หากต้องการเลือกฉีดตัวไหนตัวหนึ่ง หรือทำร่วมกับหัตถการยกกระชับอื่น ๆ สามารถส่งรูปถ่ายใบหน้ามาทาง inbox หรือจองคิวประเมินใบหน้าที่สาขาใกล้บ้าน หมอตอบเองทุกเคสครับ ให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
เอกสารอ้างอิง :
- https://journals.lww.com/md-journal/fulltext/2024/03150/application_of_plla__poly_l_lactic_acid__for.36.aspx
- https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30741790/
- https://www.galderma.com/us/sites/default/files/2023-04/Sculptra_USA_eIFU.pdf
- https://www.mdpi.com/2077-0383/13/6/1686
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11025388/