ทำความรู้จัก วิตามิน D คืออะไร ? มีกี่ชนิด ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? เสริมวิตามิน D ด้วยวิธีไหนได้บ้าง ?

Reading Time: 4 minutes

วิตามิน D ขาดไม่ได้ ถ้าอยากสุขภาพดี

วิตามิน D

วิตามิน D คือสารอาหารสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม ทั้งที่มีบทบาทต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด ทั้งช่วยเรื่องกระดูกและฟัน เสริมภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญพลังงาน และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง แต่ปัญหาคือคนไทยจำนวนไม่น้อยมักมีภาวะขาดวิตามิน D โดยไม่รู้ตัว

บทความนี้หมอจะพาไข้ไปทำความเข้าใจว่าวิตามิน D สำคัญยังไง ? วิตามิน D คืออะไร ? มีกี่ชนิด ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? ถ้าขาดวิตามินดี ร่างกายจะเป็นยังไง ? วิตามิน D ได้จากอะไรบ้าง ? ไปจนถึงวิธีดูแลให้ได้รับเพียงพอครับ

สารบัญ วิตามิน D


วิตามิน D คืออะไร ?

วิตามิน D คืออะไร

วิตามิน D คือวิตามินชนิดละลายในไขมัน มีลักษณะพิเศษต่างจากวิตามินทั่วไปคือร่างกายสามารถสร้างเองได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด รวมถึงจากการทานอาหาร วิตามิน และการทำหัตถการทางการแพทย์อย่าง IV Drip ได้อีกด้วยครับ

เมื่อเข้าสู่ร่างกาย วิตามิน D จะถูกเปลี่ยนผ่านตับและไต กลายเป็นสารออกฤทธิ์ Calcitriol ซึ่งมีบทบาทต่อการทำงานหลายระบบ เช่น การดูดซึมแคลเซียม ภูมิคุ้มกัน และการทำงานของกล้ามเนื้อ ถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกายอย่างยิ่งครับ


วิตามิน D มีกี่ชนิด ?

วิตามิน D ที่เราพบในธรรมชาติและอาหารเสริมมีอยู่ 2 ชนิดหลักครับ ได้แก่

  1. วิตามิน D2 (Ergocalciferol) : พบในพืช เห็ด และอาหารที่ผ่านการเสริมวิตามิน เช่น นม หรือน้ำส้มบางยี่ห้อ จุดเด่นคือสามารถช่วยเสริมระดับวิตามิน D ได้ แต่มีประสิทธิภาพและความคงตัวน้อยกว่า D3
  2. วิตามิน D3 (Cholecalciferol) : พบมากในอาหารจากสัตว์ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ไข่แดง ตับ รวมถึงเป็นชนิดที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองเมื่อผิวหนังสัมผัสแสงแดด ถือว่าเป็นชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า D2 จึงมักเป็นรูปแบบหลักที่ใช้ในอาหารเสริม

ความแตกต่างที่สำคัญ คือ วิตามิน D3 มักมีประสิทธิภาพสูงกว่า D2 ในการเพิ่มระดับวิตามิน D ในเลือด ทำให้แพทย์และนักโภชนาการมักแนะนำให้เลือกอาหารเสริมหรือแหล่งอาหารที่มี D3 เป็นหลักครับ


วิตามิน D ช่วยอะไรบ้าง ?

ประโยชน์ของวิตามิน D

วิตามิน D เป็นวิตามินที่ให้ประโยชน์ทั้งการเสริมความแข็งแรงของกระดูก ภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงสุขภาพกล้ามเนื้อและจิตใจ

วิตามิน D ไม่ได้สำคัญแค่กับกระดูก แต่ยังมีผลต่อหลายระบบในร่างกาย งานวิจัยปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าการมีระดับวิตามิน D เพียงพอช่วยเสริมทั้งสุขภาพกายและใจ ดังนี้ครับ

  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันแข็งแรง ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักง่าย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
  • ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค ลดโอกาสการติดเชื้อทางเดินหายใจ ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
  • ช่วยเรื่องเมตาบอลิซึมและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ
  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงการหกล้มในผู้สูงอายุ และเสริมสมรรถภาพร่างกายในวัยทำงาน
  • ช่วยเรื่องสุขภาพจิตและสมอง ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า
  • ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งบางชนิด และโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Diseases) เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง

วิธีตรวจระดับวิตามิน D

การรู้ระดับวิตามิน D ในร่างกาย ต้องอาศัยการตรวจเลือด ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่แพทย์ใช้ประเมินครับ โดยการตรวจที่ใช้กันมากที่สุดคือการวัดระดับ 25-Hydroxyvitamin D [25(OH)D] ในเลือด เนื่องจากเป็นรูปแบบที่สะสมในร่างกายและสะท้อนปริมาณวิตามิน D ได้ดีที่สุด

ระดับวิตามิน D (ng/mL)สถานะ
< 20 ng/mLภาวะขาด (Deficiency)
20-30 ng/mLภาวะขาด (Deficiency)
≥ 30 ng/mLเพียงพอ (Sufficiency)
> 100 ng/mLเพียงพอ (Sufficiency)

ตารางระดับวิตามิน D ที่เหมาะสมในร่างกาย (หน่วย ng/mL)

ปริมาณวิตามิน D ที่คนไทยควรได้รับในแต่ละวัน

ร่างกายของคนเราต้องการวิตามิน D ในปริมาณที่แตกต่างกันตามช่วงวัยและภาวะสุขภาพ โดยคำแนะนำสำหรับคนไทยอยู่ที่ประมาณ 400-800 IU/วัน (10-20 ไมโครกรัม) ครับ

  • ทารกและเด็กเล็ก : ประมาณ 400 IU/วัน เพื่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
  • วัยรุ่นและผู้ใหญ่ทั่วไป : ประมาณ 600 IU/วัน เพื่อคงสมดุลกระดูกและระบบภูมิคุ้มกัน
  • ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) : 800 IU/วัน เนื่องจากประสิทธิภาพการสังเคราะห์วิตามิน D จากผิวหนังลดลง
  • หญิงตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นมบุตร : ประมาณ 600-800 IU/วัน เพื่อช่วยในการพัฒนากระดูกและระบบภูมิคุ้มกันของทารก

สำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคตับ โรคไต หรือผู้ที่มีภาวะดูดซึมผิดปกติ อาจต้องการวิตามิน D มากกว่าปกติ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ พร้อมการตรวจเลือดวัดระดับ 25 (OH)D เพื่อติดตามอย่างใกล้ชิดครับ

อาการที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดวิตามิน D

  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือกระดูกบ่อย โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนล่างหรือขา
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย แม้พักผ่อนเพียงพอ
  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดหรือหลอดลมอักเสบบ่อย
  • กระดูกเปราะ หักง่าย หรือมีภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
  • แผลหายช้า เนื่องจากวิตามิน D มีบทบาทในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
  • อารมณ์แปรปรวนหรือมีภาวะซึมเศร้า พบความเชื่อมโยงระหว่างระดับวิตามิน D ต่ำกับปัญหาสุขภาพจิต
  • ผมร่วงผิดปกติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเรื้อรังร่วมด้วย

อาการที่บ่งบอกว่าร่างกายได้รับวิตามิน D เกิน

  • คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร เนื่องจากระดับแคลเซียมในเลือดสูงเกินไป
  • ปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสีย เกิดจากความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย
  • กระหายน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ เพราะภาวะแคลเซียมสูงส่งผลต่อการทำงานของไต
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลียเรื้อรัง ร่วมกับอาการเวียนศีรษะหรือสับสน
  • เกิดนิ่วในไต หรือภาวะไตทำงานผิดปกติ เมื่อร่างกายพยายามขับแคลเซียมส่วนเกินออก
  • ในกรณีรุนแรง อาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและกระทบต่อการทำงานของหัวใจ

❗หากมีอาการเหล่านี้และสงสัยว่าอาจได้รับวิตามิน D เกิน ควรหยุดการทานอาหารเสริมทันที และรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจเลือดวัดระดับวิตามิน D และแคลเซียมครับ

VSqare Tips (VSQ Tips)

ร่างกายควรได้รับวิตามิน D ในปริมาณที่พอดี การขาดอาจทำให้กระดูกอ่อนแอและภูมิคุ้มกันลดลง แต่ถ้าเกินก็เป็นอันตรายต่อไตและหัวใจ ดังนั้นควรรับวิตามิน D ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเสมอครับ


ใครบ้างที่เสี่ยงขาดวิตามิน D

แม้ว่าวิตามิน D จะได้รับจากแสงแดดและการทานอาหาร แต่ก็ยังมีคนหลายกลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินดีมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่มีวิถีชีวิตหรือภาวะสุขภาพบางอย่างที่ทำให้ร่างกายได้รับหรือดูดซึมวิตามิน D ได้น้อยลงครับ เช่น

  • ผู้ที่ทำงานหรือใช้ชีวิตในอาคารเป็นส่วนใหญ่ เช่น พนักงานออฟฟิศ นักเรียน นักศึกษา ทำให้ไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอ
  • ผู้สูงอายุ เพราะประสิทธิภาพการสังเคราะห์วิตามิน D จากผิวหนังจะลดลงตามอายุ
  • ผู้ที่มีผิวคล้ำหรือสวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด ต้องใช้เวลาอยู่กลางแดดนานกว่าคนผิวอ่อนจึงจะสร้างวิตามิน D ได้เท่ากัน
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคตับ โรคไต หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายเปลี่ยนวิตามิน D ไปเป็นสารออกฤทธิ์ได้น้อยลง
  • หญิงตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นมบุตร เพราะร่างกายต้องการวิตามิน D มากขึ้นเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก
  • ผู้ที่หลีกเลี่ยงแดดเป็นประจำ เช่น คนที่กังวลเรื่องผิวคล้ำหรือใช้ครีมกันแดดตลอดเวลา

วิตามิน D ได้จากอะไรบ้าง ?

ร่างกายสามารถได้รับวิตามิน D จากได้จากแหลายแหล่งครับ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อจำกัดต่างกัน ดังนี้

แสงแดด

วิตามิน D ได้จากอะไรบ้าง

การรับแสงแดด คือวิธีรับวิตามิน D แบบธรรมชาติครับ เมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสี UVB ร่างกายจะสังเคราะห์วิตามิน D3 ได้เอง โดยเวลาที่เหมาะสมคือช่วงเวลาประมาณ 9.00-15.00 น. ใช้เวลาเพียง 10-15 นาที แต่อย่าลืมทาครีมกันแดด และใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด หรือการใช้ชีวิตในเมืองที่มีมลภาวะสูง อาจลดการสร้างวิตามิน D ลงได้

การทานอาหาร

แหล่งอาหารวิตามิน D

วิตามินดีจากอาหาร ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่สำคัญครับ เช่น ปลาแซลมอน, ปลาทู, ปลาซาร์ดีน, ไข่แดง, ตับ, นม และเห็ดบางชนิด แต่การพึ่งอาหารเพียงอย่างเดียวมักไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน จึงควรใช้ร่วมกับวิธีอื่น

การทานวิตามิน

อาหารเสริมวิตามิน D

ในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถได้รับวิตามิน D จากแสงแดดหรืออาหารได้เพียงพอ การทานอาหารเสริมวิตามิน D ก็เป็นอีกทางเลือกครับ แต่จะแนะนำเป็นวิตามิน D3 เพราะมีประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้ปริมาณที่กินควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันการได้รับวิตามินดีเกินจนเกิดอันตรายครับ

การทำ IV Drip

ทำ IV Drip เสริมวิตามิน D

อีกหนึ่งวิธีเสริมวิตามินดีที่ได้รับความนิยมคือการทำ IV Drip ซึ่งเป็นการให้วิตามินและสารอาหารเข้าสู่ร่างกายทางสายน้ำเกลือโดยตรง บางสูตรมีการผสมวิตามิน D ร่วมด้วย ข้อดีคือร่างกายดูดซึมได้เร็ว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมสารอาหาร หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ควรทำโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดครับ

อ่านบทความเพิ่มเติม : ดริปวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล ? รู้ข้อมูลก่อนตัดสินใจ ซื้อเป็นครั้งหรือคอร์สแบบไหนคุ้ม ?

ปรึกษาดริปวิตามิน

ดริปวิตามิน เสริมภูมิคุ้มกัน เลือกสูตรไหนดี ?

ที่ V Square Wellness Center เรามีโปรแกรมดริปวิตามินให้เลือกหลายสูตรครับ โดยออกแบบให้ตรงกับความต้องการด้านสุขภาพ เช่น

  • สูตร Immune V Booster : เน้นเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสป่วยบ่อย และช่วยป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิแพ้เรื้อรัง ไมเกรนหรือไซนัสกำเริบบ่อย รวมถึงผู้ที่มีผื่นคันเรื้อรังหรือลมพิษ และผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
  • สูตร Myer’s V Booster : ช่วยฟื้นฟูร่างกายทั้งระบบ เหมาะกับคนที่พักผ่อนน้อย เหนื่อยล้า หรือมีภาวะขาดสารอาหาร สูตรนี้ช่วยเสริมสมรรถภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้รู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
  • สูตร Brain V Booster : เน้นบำรุงสมองและระบบประสาท ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของสมอง ลดความเหนื่อยล้า เพิ่มความสดชื่นและสมาธิ เหมาะกับผู้ที่ทำงานหนักหรือต้องใช้สมองอย่างต่อเนื่อง
โปรแกรมดริปวิตามิน

IV Drip ที่ V Square Wellness ดีอย่างไร ?

ดริปวิตามิน V Square

IV Drip ที่ V Square Wellness เราให้บริการดริปวิตามินโดยแพทย์ ผสานกับโปรแกรม Wellness ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพ เน้นการป้องกันมากกว่ารักษาครับ

  • ทุกขั้นตอนดำเนินการโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต
  • มีการประเมินสุขภาพก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
  • มั่นใจได้ในคุณภาพ สูตรถูกคิดค้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านชะลอวัยและสุขภาพ
  • วิตามินเข้มข้นจัดเต็ม ผสมผสานแร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย
  • ปลอดภัยสูงสุด เปิดเผยส่วนผสมชัดเจนทุกสูตร ดูแลโดยทีมแพทย์ พร้อมติดตามผลหลังทำ
  • มีให้เลือกมากกว่า 10 สูตร ครอบคลุมทั้งผิว กระจ่างใส ฟื้นฟูร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกัน ในราคาที่เข้าถึงได้
  • ห้องทรีทเมนต์ส่วนตัว สะอาด ได้มาตรฐานการแพทย์
  • ให้การดูแลแบบ VIP ใส่ใจทุกรายละเอียด ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ดูแลตัวเองยังไง ให้ได้วิตามิน D เพียงพอ ?

การดูแลให้ร่างกายมีวิตามิน D ในระดับที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทั้งการขาดและการได้รับเกินล้วนมีผลเสียต่อสุขภาพ วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้คนไข้รักษาสมดุลวิตามิน D ได้ มีดังนี้ครับ

  • รับแสงแดดอย่างเหมาะสม ช่วงประมาณ 9.00-15.00 น. วันละ 1015 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ผิวหนังสังเคราะห์วิตามิน D3 ได้เพียงพอ แต่ไม่ควรตากแดดนานเกินไปจนเสี่ยงผิวไหม้
  • ควรเสริมด้วยอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน D เช่น ปลาแซลมอน, ปลาทู, ปลาซาร์ดีน, ไข่แดง, ตับ, นม หรือเห็ดบางชนิดที่ผ่านการส่องแสงอัลตราไวโอเลตก็เป็นอีกแหล่งที่ดี
  • ทานอาหารเสริม โดยแนะนำให้เลือกวิตามินดี 3 เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะได้รับวิตามิน D เกิน
  • ทำหัตถการทางการแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมสารอาหาร หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายเร่งด่วน อาจเลือกทำ IV Drip ที่มีวิตามิน D รวมอยู่ด้วย แต่ต้องทำโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามิน D (FAQ)

วิตามิน D กินตอนไหนดูดซึมดีที่สุด ?

ควรกินวิตามิน D พร้อมมื้ออาหารที่มีไขมันเล็กน้อย เช่น นม ไข่ หรือปลา เนื่องจากวิตามิน D เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน การทานร่วมกับอาหารที่มีไขมันช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าการทานตอนท้องว่าง

วิตามิน D กินคู่กับแคลเซียมดีไหม ?

การเสริมวิตามิน D ควบคู่กับแคลเซียม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเสริมสร้างกระดูก เพราะวิตามิน D ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับเกินครับ

วิตามิน D กินทุกวันได้ไหม ?

กินได้ถ้าอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม (600-800 IU/วัน) แต่ไม่ควรเกิน 4,000 IU/วัน หากต้องเสริมมากกว่านี้ควรปรึกษาแพทย์ครับ

ขาดวิตามิน D ต้องกินอะไร ?

ขาดวิตามิน D แนะนำให้ทานอาหารที่มีวิตามิน D เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ไข่แดง ตับ นม หรือเสริมด้วยวิตามิน D3 ตามคำแนะนำแพทย์

ได้รับวิตามินดีเกินขนาด จะเกิดอะไรขึ้น ?

การได้รับวิตามิน D เกินไป อาจทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงผิดปกติ (Hypercalcemia) ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปัสสาวะบ่อย นิ่วในไต และในกรณีรุนแรงอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจได้ ดังนั้นไม่ควรทานเกินกว่าปริมาณที่แพทย์แนะนำครับ

จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนเสริมวิตามินดีไหม ?

ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกคนครับ แต่ใครที่สงสัยว่าตนเองอาจขาด เช่น มีอาการปวดเมื่อยบ่อย กระดูกเปราะ ติดเชื้อง่าย หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคตับ โรคไต หรือหญิงตั้งครรภ์ ควรตรวจเลือดวัดระดับ 25(OH)D ก่อน เพื่อปรับการเสริมวิตามิน D ให้เหมาะสมที่สุด


สรุป วิตามิน D สำคัญกว่าที่คิด!

วิตามิน D คือวิตามินที่สำคัญต่อกระดูก, ฟัน, ภูมิคุ้มกัน, การเผาผลาญพลังงาน, สมอง และสุขภาพโดยรวม การขาดวิตามินดี อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ ป่วยบ่อย หรือเสี่ยงโรคเรื้อรังได้ แต่ถ้าร่างกายได้รับมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อไตและหัวใจได้เช่นกัน

สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้รับวิตามิน D เกินหรือขาด แนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อตรวจสอบระดับวิตามิน และหาแนวทางการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาวครับ


อ้างอิง


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ
ปรึกษาหมอ
บทความแนะนำ

ดฟิลเลอร์ยกมุมปาก คืออะไร ? อันตราย ? เปลี่ยนหน้าบึ้งให้สดใส เลือกที่ไหนดี ?

Reading Time: 3 minutesฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก ให้ใบหน้าดูสดใส และอ่อนเยาว์ขึ้น เป็นหนึ่งในวิธียกมุมปากที่ได้รับความนิยมมากในตอนนี้ครับ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหามุมปากตก ทำให้ใบหน้าเศร้า ดูบึ้งตึง ทั้งยังเป็นหนึ่งในสัญญาณของวัยที่มากขึ้น สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธียกมุมปากและสนใจการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก บทความนี้หมอได้รวมข้อมูลที่ควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์

December 15, 2025 อ่านต่อ

ข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ ที่ควรรู้ เพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่...

Reading Time: 5 minutesเพื่อให้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพ เห็นผลได้อย่างเต็มที่ การดูแลตัวเองหลังฉีด Filler นับว่ามีส่วนสำคัญมาก ๆ ครับ อะไรที่ต้องระวัง ? หลังฉีดฟิลเลอร์มีข้อปฏิบัติอะไรบ้าง ? หลังฉีดฟิลเลอร์ห้ามกินอะไร ? หลังฉีดเสร็จทันทีเป็นอย่างไร ? ใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ? สวีเดน อเมริกา ต่างกันอย่าง...

Reading Time: 4 minutesปัญหาใต้ตาหลาย ๆ แบบสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาครับ เช่น ร่องน้ำตา ตาลึก ตาโหล ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา แต่จะเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี ? ที่จะแก้ปัญหาใต้ตาได้ตรงจุด หมอมีแนวทางการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับบริเวณใต้ตามาแนะนำครับ

โบท็อก BOTULAX สัญชาติเกาหลี ดีอย่างไร ราคาแพงแค่ไหน ?

Reading Time: 5 minutesโบท็อกในปัจจุบันมีอยู่หลายยี่ห้อครับ แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกัน Botox Botulax เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความสนใจ และนิยมนำมาใช้เป็นอันดับต้น ๆ ในบทความนี้หมอจะอธิบายว่า Botulax ดีไหม ดีอย่างไร? ทำไม Botox Botulax ถึงได้รับความนิยม Botulax 100 U, Botulax 200 U แตกต่างกันอย่างไร?

Botox Allergan คืออะไร ? ดีอย่างไร ? allergan botox 50 – ...

Reading Time: 6 minutes Allergan คืออะไร ? ราคาเท่าไร ? ต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร ? เนื้อหาในบทความนี้ หมอมีข้อมูลเกี่ยวกับ โบท็อกยี่ห้อ Allergan มาแนะนำครับ พร้อมบอกข้อดี ข้อเสีย เปรียบเทียบแบบต่าง ๆ ที่ควรรู้ และโบท็อก Allergan ของแท้ดูอย่างไร ? สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน ? หลังฉีดมีข้อปฏิบัติตัวอย่...

Reading Time: 5 minutesหลายคนที่มีร่องแก้มลึก มักเลือกแก้ปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่กังวลคือ หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน ? เพราะกลัวว่าฉีดแล้วจะบวมเกินจนกลายเป็นก้อน ทำให้ต้องพักหน้าหลายวัน ใครที่กังวล หมอจะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดในบทความนี้ครับ ตั้งแต่ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน ?

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ สามารถศึกษานโยบายความเป็นส่วนตัวและจัดการความเป็นส่วนตัว ได้ที่ปุ่มตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า