วิตามิน D ขาดไม่ได้ ถ้าอยากสุขภาพดี
วิตามิน D คือสารอาหารสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม ทั้งที่มีบทบาทต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด ทั้งช่วยเรื่องกระดูกและฟัน เสริมภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญพลังงาน และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง แต่ปัญหาคือคนไทยจำนวนไม่น้อยมักมีภาวะขาดวิตามิน D โดยไม่รู้ตัว
บทความนี้หมอจะพาไข้ไปทำความเข้าใจว่าวิตามิน D สำคัญยังไง ? วิตามิน D คืออะไร ? มีกี่ชนิด ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? ถ้าขาดวิตามินดี ร่างกายจะเป็นยังไง ? วิตามิน D ได้จากอะไรบ้าง ? ไปจนถึงวิธีดูแลให้ได้รับเพียงพอครับ
สารบัญ วิตามิน D
วิตามิน D คืออะไร ?
วิตามิน D คือวิตามินชนิดละลายในไขมัน มีลักษณะพิเศษต่างจากวิตามินทั่วไปคือร่างกายสามารถสร้างเองได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด รวมถึงจากการทานอาหาร วิตามิน และการทำหัตถการทางการแพทย์อย่าง IV Drip ได้อีกด้วยครับ
เมื่อเข้าสู่ร่างกาย วิตามิน D จะถูกเปลี่ยนผ่านตับและไต กลายเป็นสารออกฤทธิ์ Calcitriol ซึ่งมีบทบาทต่อการทำงานหลายระบบ เช่น การดูดซึมแคลเซียม ภูมิคุ้มกัน และการทำงานของกล้ามเนื้อ ถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกายอย่างยิ่งครับ
วิตามิน D มีกี่ชนิด ?
วิตามิน D ที่เราพบในธรรมชาติและอาหารเสริมมีอยู่ 2 ชนิดหลักครับ ได้แก่
- วิตามิน D2 (Ergocalciferol) : พบในพืช เห็ด และอาหารที่ผ่านการเสริมวิตามิน เช่น นม หรือน้ำส้มบางยี่ห้อ จุดเด่นคือสามารถช่วยเสริมระดับวิตามิน D ได้ แต่มีประสิทธิภาพและความคงตัวน้อยกว่า D3
- วิตามิน D3 (Cholecalciferol) : พบมากในอาหารจากสัตว์ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ไข่แดง ตับ รวมถึงเป็นชนิดที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองเมื่อผิวหนังสัมผัสแสงแดด ถือว่าเป็นชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า D2 จึงมักเป็นรูปแบบหลักที่ใช้ในอาหารเสริม
ความแตกต่างที่สำคัญ คือ วิตามิน D3 มักมีประสิทธิภาพสูงกว่า D2 ในการเพิ่มระดับวิตามิน D ในเลือด ทำให้แพทย์และนักโภชนาการมักแนะนำให้เลือกอาหารเสริมหรือแหล่งอาหารที่มี D3 เป็นหลักครับ
วิตามิน D ช่วยอะไรบ้าง ?
วิตามิน D เป็นวิตามินที่ให้ประโยชน์ทั้งการเสริมความแข็งแรงของกระดูก ภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงสุขภาพกล้ามเนื้อและจิตใจ
วิตามิน D ไม่ได้สำคัญแค่กับกระดูก แต่ยังมีผลต่อหลายระบบในร่างกาย งานวิจัยปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าการมีระดับวิตามิน D เพียงพอช่วยเสริมทั้งสุขภาพกายและใจ ดังนี้ครับ
- ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันแข็งแรง ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักง่าย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
- ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค ลดโอกาสการติดเชื้อทางเดินหายใจ ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
- ช่วยเรื่องเมตาบอลิซึมและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงการหกล้มในผู้สูงอายุ และเสริมสมรรถภาพร่างกายในวัยทำงาน
- ช่วยเรื่องสุขภาพจิตและสมอง ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า
- ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งบางชนิด และโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Diseases) เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
วิธีตรวจระดับวิตามิน D
การรู้ระดับวิตามิน D ในร่างกาย ต้องอาศัยการตรวจเลือด ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่แพทย์ใช้ประเมินครับ โดยการตรวจที่ใช้กันมากที่สุดคือการวัดระดับ 25-Hydroxyvitamin D [25(OH)D] ในเลือด เนื่องจากเป็นรูปแบบที่สะสมในร่างกายและสะท้อนปริมาณวิตามิน D ได้ดีที่สุด
| ระดับวิตามิน D (ng/mL) | สถานะ |
|---|---|
| < 20 ng/mL | ภาวะขาด (Deficiency) |
| 20-30 ng/mL | ภาวะขาด (Deficiency) |
| ≥ 30 ng/mL | เพียงพอ (Sufficiency) |
| > 100 ng/mL | เพียงพอ (Sufficiency) |
ตารางระดับวิตามิน D ที่เหมาะสมในร่างกาย (หน่วย ng/mL)
ปริมาณวิตามิน D ที่คนไทยควรได้รับในแต่ละวัน
ร่างกายของคนเราต้องการวิตามิน D ในปริมาณที่แตกต่างกันตามช่วงวัยและภาวะสุขภาพ โดยคำแนะนำสำหรับคนไทยอยู่ที่ประมาณ 400-800 IU/วัน (10-20 ไมโครกรัม) ครับ
- ทารกและเด็กเล็ก : ประมาณ 400 IU/วัน เพื่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
- วัยรุ่นและผู้ใหญ่ทั่วไป : ประมาณ 600 IU/วัน เพื่อคงสมดุลกระดูกและระบบภูมิคุ้มกัน
- ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) : 800 IU/วัน เนื่องจากประสิทธิภาพการสังเคราะห์วิตามิน D จากผิวหนังลดลง
- หญิงตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นมบุตร : ประมาณ 600-800 IU/วัน เพื่อช่วยในการพัฒนากระดูกและระบบภูมิคุ้มกันของทารก
สำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคตับ โรคไต หรือผู้ที่มีภาวะดูดซึมผิดปกติ อาจต้องการวิตามิน D มากกว่าปกติ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ พร้อมการตรวจเลือดวัดระดับ 25 (OH)D เพื่อติดตามอย่างใกล้ชิดครับ
อาการที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดวิตามิน D
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือกระดูกบ่อย โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนล่างหรือขา
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย แม้พักผ่อนเพียงพอ
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดหรือหลอดลมอักเสบบ่อย
- กระดูกเปราะ หักง่าย หรือมีภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
- แผลหายช้า เนื่องจากวิตามิน D มีบทบาทในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- อารมณ์แปรปรวนหรือมีภาวะซึมเศร้า พบความเชื่อมโยงระหว่างระดับวิตามิน D ต่ำกับปัญหาสุขภาพจิต
- ผมร่วงผิดปกติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเรื้อรังร่วมด้วย
อาการที่บ่งบอกว่าร่างกายได้รับวิตามิน D เกิน
- คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร เนื่องจากระดับแคลเซียมในเลือดสูงเกินไป
- ปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสีย เกิดจากความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย
- กระหายน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ เพราะภาวะแคลเซียมสูงส่งผลต่อการทำงานของไต
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลียเรื้อรัง ร่วมกับอาการเวียนศีรษะหรือสับสน
- เกิดนิ่วในไต หรือภาวะไตทำงานผิดปกติ เมื่อร่างกายพยายามขับแคลเซียมส่วนเกินออก
- ในกรณีรุนแรง อาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและกระทบต่อการทำงานของหัวใจ
❗หากมีอาการเหล่านี้และสงสัยว่าอาจได้รับวิตามิน D เกิน ควรหยุดการทานอาหารเสริมทันที และรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจเลือดวัดระดับวิตามิน D และแคลเซียมครับ
ร่างกายควรได้รับวิตามิน D ในปริมาณที่พอดี การขาดอาจทำให้กระดูกอ่อนแอและภูมิคุ้มกันลดลง แต่ถ้าเกินก็เป็นอันตรายต่อไตและหัวใจ ดังนั้นควรรับวิตามิน D ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเสมอครับ
ใครบ้างที่เสี่ยงขาดวิตามิน D
แม้ว่าวิตามิน D จะได้รับจากแสงแดดและการทานอาหาร แต่ก็ยังมีคนหลายกลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินดีมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่มีวิถีชีวิตหรือภาวะสุขภาพบางอย่างที่ทำให้ร่างกายได้รับหรือดูดซึมวิตามิน D ได้น้อยลงครับ เช่น
- ผู้ที่ทำงานหรือใช้ชีวิตในอาคารเป็นส่วนใหญ่ เช่น พนักงานออฟฟิศ นักเรียน นักศึกษา ทำให้ไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอ
- ผู้สูงอายุ เพราะประสิทธิภาพการสังเคราะห์วิตามิน D จากผิวหนังจะลดลงตามอายุ
- ผู้ที่มีผิวคล้ำหรือสวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด ต้องใช้เวลาอยู่กลางแดดนานกว่าคนผิวอ่อนจึงจะสร้างวิตามิน D ได้เท่ากัน
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคตับ โรคไต หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายเปลี่ยนวิตามิน D ไปเป็นสารออกฤทธิ์ได้น้อยลง
- หญิงตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นมบุตร เพราะร่างกายต้องการวิตามิน D มากขึ้นเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก
- ผู้ที่หลีกเลี่ยงแดดเป็นประจำ เช่น คนที่กังวลเรื่องผิวคล้ำหรือใช้ครีมกันแดดตลอดเวลา
วิตามิน D ได้จากอะไรบ้าง ?
ร่างกายสามารถได้รับวิตามิน D จากได้จากแหลายแหล่งครับ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อจำกัดต่างกัน ดังนี้
แสงแดด
การรับแสงแดด คือวิธีรับวิตามิน D แบบธรรมชาติครับ เมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสี UVB ร่างกายจะสังเคราะห์วิตามิน D3 ได้เอง โดยเวลาที่เหมาะสมคือช่วงเวลาประมาณ 9.00-15.00 น. ใช้เวลาเพียง 10-15 นาที แต่อย่าลืมทาครีมกันแดด และใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด หรือการใช้ชีวิตในเมืองที่มีมลภาวะสูง อาจลดการสร้างวิตามิน D ลงได้
การทานอาหาร
วิตามินดีจากอาหาร ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่สำคัญครับ เช่น ปลาแซลมอน, ปลาทู, ปลาซาร์ดีน, ไข่แดง, ตับ, นม และเห็ดบางชนิด แต่การพึ่งอาหารเพียงอย่างเดียวมักไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน จึงควรใช้ร่วมกับวิธีอื่น
การทานวิตามิน
ในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถได้รับวิตามิน D จากแสงแดดหรืออาหารได้เพียงพอ การทานอาหารเสริมวิตามิน D ก็เป็นอีกทางเลือกครับ แต่จะแนะนำเป็นวิตามิน D3 เพราะมีประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้ปริมาณที่กินควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันการได้รับวิตามินดีเกินจนเกิดอันตรายครับ
การทำ IV Drip
อีกหนึ่งวิธีเสริมวิตามินดีที่ได้รับความนิยมคือการทำ IV Drip ซึ่งเป็นการให้วิตามินและสารอาหารเข้าสู่ร่างกายทางสายน้ำเกลือโดยตรง บางสูตรมีการผสมวิตามิน D ร่วมด้วย ข้อดีคือร่างกายดูดซึมได้เร็ว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมสารอาหาร หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม ควรทำโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ดริปวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล ? รู้ข้อมูลก่อนตัดสินใจ ซื้อเป็นครั้งหรือคอร์สแบบไหนคุ้ม ?
ดริปวิตามิน เสริมภูมิคุ้มกัน เลือกสูตรไหนดี ?
ที่ V Square Wellness Center เรามีโปรแกรมดริปวิตามินให้เลือกหลายสูตรครับ โดยออกแบบให้ตรงกับความต้องการด้านสุขภาพ เช่น
- สูตร Immune V Booster : เน้นเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสป่วยบ่อย และช่วยป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิแพ้เรื้อรัง ไมเกรนหรือไซนัสกำเริบบ่อย รวมถึงผู้ที่มีผื่นคันเรื้อรังหรือลมพิษ และผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
- สูตร Myer’s V Booster : ช่วยฟื้นฟูร่างกายทั้งระบบ เหมาะกับคนที่พักผ่อนน้อย เหนื่อยล้า หรือมีภาวะขาดสารอาหาร สูตรนี้ช่วยเสริมสมรรถภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้รู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
- สูตร Brain V Booster : เน้นบำรุงสมองและระบบประสาท ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของสมอง ลดความเหนื่อยล้า เพิ่มความสดชื่นและสมาธิ เหมาะกับผู้ที่ทำงานหนักหรือต้องใช้สมองอย่างต่อเนื่อง
IV Drip ที่ V Square Wellness ดีอย่างไร ?
IV Drip ที่ V Square Wellness เราให้บริการดริปวิตามินโดยแพทย์ ผสานกับโปรแกรม Wellness ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพ เน้นการป้องกันมากกว่ารักษาครับ
- ทุกขั้นตอนดำเนินการโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต
- มีการประเมินสุขภาพก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- มั่นใจได้ในคุณภาพ สูตรถูกคิดค้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านชะลอวัยและสุขภาพ
- วิตามินเข้มข้นจัดเต็ม ผสมผสานแร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย
- ปลอดภัยสูงสุด เปิดเผยส่วนผสมชัดเจนทุกสูตร ดูแลโดยทีมแพทย์ พร้อมติดตามผลหลังทำ
- มีให้เลือกมากกว่า 10 สูตร ครอบคลุมทั้งผิว กระจ่างใส ฟื้นฟูร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกัน ในราคาที่เข้าถึงได้
- ห้องทรีทเมนต์ส่วนตัว สะอาด ได้มาตรฐานการแพทย์
- ให้การดูแลแบบ VIP ใส่ใจทุกรายละเอียด ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
ดูแลตัวเองยังไง ให้ได้วิตามิน D เพียงพอ ?
การดูแลให้ร่างกายมีวิตามิน D ในระดับที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทั้งการขาดและการได้รับเกินล้วนมีผลเสียต่อสุขภาพ วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้คนไข้รักษาสมดุลวิตามิน D ได้ มีดังนี้ครับ
- รับแสงแดดอย่างเหมาะสม ช่วงประมาณ 9.00-15.00 น. วันละ 1015 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ผิวหนังสังเคราะห์วิตามิน D3 ได้เพียงพอ แต่ไม่ควรตากแดดนานเกินไปจนเสี่ยงผิวไหม้
- ควรเสริมด้วยอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน D เช่น ปลาแซลมอน, ปลาทู, ปลาซาร์ดีน, ไข่แดง, ตับ, นม หรือเห็ดบางชนิดที่ผ่านการส่องแสงอัลตราไวโอเลตก็เป็นอีกแหล่งที่ดี
- ทานอาหารเสริม โดยแนะนำให้เลือกวิตามินดี 3 เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะได้รับวิตามิน D เกิน
- ทำหัตถการทางการแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมสารอาหาร หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายเร่งด่วน อาจเลือกทำ IV Drip ที่มีวิตามิน D รวมอยู่ด้วย แต่ต้องทำโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามิน D (FAQ)
วิตามิน D กินตอนไหนดูดซึมดีที่สุด ?
ควรกินวิตามิน D พร้อมมื้ออาหารที่มีไขมันเล็กน้อย เช่น นม ไข่ หรือปลา เนื่องจากวิตามิน D เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน การทานร่วมกับอาหารที่มีไขมันช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าการทานตอนท้องว่าง
วิตามิน D กินคู่กับแคลเซียมดีไหม ?
การเสริมวิตามิน D ควบคู่กับแคลเซียม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเสริมสร้างกระดูก เพราะวิตามิน D ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับเกินครับ
วิตามิน D กินทุกวันได้ไหม ?
กินได้ถ้าอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม (600-800 IU/วัน) แต่ไม่ควรเกิน 4,000 IU/วัน หากต้องเสริมมากกว่านี้ควรปรึกษาแพทย์ครับ
ขาดวิตามิน D ต้องกินอะไร ?
ขาดวิตามิน D แนะนำให้ทานอาหารที่มีวิตามิน D เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ไข่แดง ตับ นม หรือเสริมด้วยวิตามิน D3 ตามคำแนะนำแพทย์
ได้รับวิตามินดีเกินขนาด จะเกิดอะไรขึ้น ?
การได้รับวิตามิน D เกินไป อาจทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงผิดปกติ (Hypercalcemia) ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปัสสาวะบ่อย นิ่วในไต และในกรณีรุนแรงอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจได้ ดังนั้นไม่ควรทานเกินกว่าปริมาณที่แพทย์แนะนำครับ
จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนเสริมวิตามินดีไหม ?
ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกคนครับ แต่ใครที่สงสัยว่าตนเองอาจขาด เช่น มีอาการปวดเมื่อยบ่อย กระดูกเปราะ ติดเชื้อง่าย หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคตับ โรคไต หรือหญิงตั้งครรภ์ ควรตรวจเลือดวัดระดับ 25(OH)D ก่อน เพื่อปรับการเสริมวิตามิน D ให้เหมาะสมที่สุด
สรุป วิตามิน D สำคัญกว่าที่คิด!
วิตามิน D คือวิตามินที่สำคัญต่อกระดูก, ฟัน, ภูมิคุ้มกัน, การเผาผลาญพลังงาน, สมอง และสุขภาพโดยรวม การขาดวิตามินดี อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ ป่วยบ่อย หรือเสี่ยงโรคเรื้อรังได้ แต่ถ้าร่างกายได้รับมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อไตและหัวใจได้เช่นกัน
สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้รับวิตามิน D เกินหรือขาด แนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อตรวจสอบระดับวิตามิน และหาแนวทางการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาวครับ
อ้างอิง
- National Institutes of Health (NIH). Vitamin D Fact Sheet. https://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminD-Consumer
- Harvard T.H. Chan School of Public Health. Vitamin D. https://www.hsph.harvard.edu/nutritionsource/vitamin-d/
- PubMed. Research Articles on Vitamin D. เข้าถึงจาก https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/?term=vitamin+D



