วิตามิน E คืออะไร ? รู้จักตัวช่วยเสริมผิวสวย สุขภาพดีที่ร่างกายไม่ควรขาด

Reading Time: 4 minutes
วิตามิน E

วิตามิน E กุญแจสำคัญสู่ผิวใส ห่างไกลริ้วรอย

วิตามิน E เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่พบได้ในอาหารหลากหลายชนิด และเป็นส่วนผสมสำคัญในสกินแคร์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามินที่ครบเครื่องที่สุด ทั้งด้านการบำรุงผิว ลดการอักเสบ และช่วยให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรง

วิตามินอีมีประโยชน์ต่อผิวและสุขภาพอย่างไร ทำไมจึงถูกยกให้เป็นกุญแจสำคัญของการมีผิวและสุขภาพดี เสริมวิตามิน E ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง บทความนี้หมอมีคำตอบให้ครบครับ

สารบัญ วิตามิน E


วิตามิน E คืออะไร ? ทำไมถึงสำคัญต่อร่างกายและผิวพรรณ ?

วิตามินอี (Vitamin E) หรืออีกชื่อ โทโคเฟอรอล (Tocopherol) คือสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย จากการเสื่อมก่อนวัย ชะลอการเกิดริ้วรอย ช่วยฟื้นฟูผิว และเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นครับ

วิตามิน E คือ

หากร่างกายขาดวิตามิน E จะเป็นอย่างไร ?

โดยทั่วไปภาวะขาดวิตามิน E พบได้น้อยครับ เพราะเป็นวิตามินที่สะสมในร่างกายได้ ส่วนใหญ่จะพบในคนที่มีปัญหาดูดซึมไขมันได้ยาก

ถ้าหากร่างกายขาดวิตามิน E อาจมีปัญหาเหล่านี้ตามมา

  • มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินเซ มือสั่น
  • มีปัญหาด้านการสืบพันธุ์
  • มีปัญหาด้านสายตา การมองเห็นผิดปกติ มองเห็นในที่มืดแย่ลง
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ร่างกายฟื้นตัวช้าหลังเจ็บป่วย
  • ผิวแห้งกร้านผิดปกติ ขาดความชุ่มชื้น
  • เกิดภาวะโลหิตจาง (Anemia)

รู้คุณสมบัติเด่นของวิตามิน E ช่วยอะไรบ้าง ?

วิตามิน E ช่วยอะไรบ้าง
  • บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ลดปัญหาผิวแห้งกร้าน
  • เสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้ผิวกักเก็บน้ำให้ดีขึ้น
  • ต้านอนุมูลอิสระ (Antixiodant) ชะลอความเสื่อมเซลล์
  • บำรุงสมองและระบบประสาท ป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ มะเร็ง
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • ปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะ PM 2.5

ใครบ้างที่ควรเสริมวิตามินอี ?

  • ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
  • ผู้ที่เผชิญมลภาวะและแสงแดดอยู่เป็นประจำ
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดี
  • ผู้ที่พักผ่อนน้อย รู้สึกอ่อนเพลีย ภูมิตกง่าย ต้องการเสริมภูมิคุ้มกัน

วิตามิน E หาได้จากที่ไหนบ้าง ?

การได้รับวิตามิน E อย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอก เราสามารถเสริมวิตามินอีได้จากหลายแหล่ง ดังนี้

วิตามิน E จากอาหาร

วิตามิน E จากอาหาร

วิตามิน E สามารถหาได้จากอาหารทั่วไปตามธรรมชาติครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ในอาหารที่มีไขมันดี เช่น

  • กลุ่มถั่ว เมล็ดพืช อัลมอนด์ เนื้อสัตว์และอื่น ๆ
  • น้ำมันพืช น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด
  • ผักใบเขียว ผักโขม บร็อกโคลี
  • ผลไม้ อะโวคาโด กีวี
  • โปรตีนจากสัตว์ ไข่ ปลา แซลมอน

วิตามิน E จากอาหารเสริม

วิตามิน E จากอาหารเสริม

วิตามิน E จากอาหารเสริม มีจำหน่ายหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ด แคปซูล ซอฟต์เจล เหมาะกับคนที่รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ต้องการฟื้นฟูผิว

ทั้งนี้การทานวิตามิน E จากอาหารเสริมควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้ได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปจนเกิดอันตราย

วิตามิน E จากสกินแคร์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

วิตามิน E จากสกินแคร์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

วิตามินอี เป็นสารประกอบยอดนิยมในสกินแคร์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยมักผสมกับสารบำรุงอื่น ๆ เช่น วิตามินซี ไฮยาลูรอน สามารถทาลงบนผิวได้โดยตรง เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระต่าง ๆ เป็นตัวช่วยเสริมให้ผิวภายนอกแข็งแรงควบคู่กับการดูแลจากภายใน

วิตามิน E จากการดริปวิตามิน

วิตามิน E จากการดริปวิตามิน

เราสามารถรับวิตามินอีได้อย่างรวดเร็วด้วยการดริปวิตามินครับ แต่จะไม่ค่อยนิยมดริปวิตามิน E แบบเดี่ยว ๆ เพราะเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน แต่จะผสมกับสารบำรุงต่าง ๆ เช่น วิตามิน C, B หรือแร่ธาตุต่าง ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและเสริมสร้างการต้านอนุมูลอิสระ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายและผิวพรรณอย่างเร่งด่วน


กินวิตามินอีอย่างเดียวพอไหม ? ข้อจำกัดที่หลายคนไม่รู้

โดยทั่วไป เราได้รับวิตามิน E จากการรับประทานอาหารอยู่แล้ว แต่อาจมีข้อกำจัดคือ ได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอโดยเฉพาะในคนที่รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ดูดซึมได้ไม่ 100%

การรับประทานจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงสุขภาพผิว สุขภาพกายในระยะยาว แต่ถ้าหากต้องฟื้นฟูผิวและร่างกายแบบเร่งด่วนการดริปวิตามินจะตอบโจทย์มากกว่าครับ

ดริปวิตามิน (IV Drip) ทางลัดส่งวิตามินและสารอาหารฟื้นฟูร่างกายโดยตรง

การดริปวิตามิน IV Drip คือ การฉีดวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายเข้าสู่เส้นเลือดดำโดยตรง ตัวยาจะประกอบไปด้วยวิตามินหลายชนิดและแร่ธาตุสำคัญ รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะถูกปรับสูตรตามความต้องการ ช่วยซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ปรับสีผิวให้สว่างขึ้น และชะลอความเสื่อมของเซลล์

ทำไมต้องดริปวิตามินผิว

อยากบำรุงผิว เสริมภูมิคุ้มกัน ดริปวิตามินสูตรไหนดี ?

โปรแกรมดริปวิตามินที่ V Square Clinic มีให้เลือกหลายสูตรตามปัญหา ความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ซึ่งแต่ละสูตรพัฒนาขึ้นโดยแพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย มีความปลอดภัยสูง

โปรแกรมดริปวิตามิน V Bright Booster

  • สูตร Super Healthy Skin ช่วยผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้น ปกป้องผิวจากรังสี UV
  • สูตร Radiance Plus+ ปรับผิวกระจ่างใสสุขภาพดี ไร้จุดด่างดำ ป้องกันฝ้า กระ
  • สูตร Perfect White ช่วยให้ผิวไบรท์ ลดเม็ดสี ลดผิวคล้ำเสียสะสม
  • สูตร Extra Perfect White บูสต์ผิวใสเร่งด่วน ลดการสร้างเม็ดสี เสริมผิวแข็งแรง
สูตรดริปวิตามินผิว

โปรแกรมดริปวิตามิน V Healthy Booster

  • สูตร Myer’s V Booster รีบูสต์ร่างกาย ลดความล้า เพิ่มความสดชื่น
  • สูตร Immune V Booster เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด ภูมิแพ้ ไมเกรน
  • สูตร Brain V Booster เติมพลังงานให้สมอง สำหรับคนนอนดึกตื่นเช้า
  • สูตร Liver V Booster ดูแลตับ ขับของเสีย ปรับสมดุล

โปรแกรมดริปวิตามิน V Healthy Recovery

  • สูตร V Anti-Hangover แก้แฮงค์ เมาค้าง ลดอาการปวดหัว
  • สูตร V Anti-Hangover Plus+ แก้แฮงค์เลเวลอัพ กู้ร่างพัง บำรุงสมอง ฟื้นตัวเร็วทันใจ
  • สูตร V Anti-Diabetes ปรับสมดุลน้ำตาล ต้านเบาหวาน บาลานซ์น้ำตาล
  • สูตร V Anti-Pollution เคลียร์สารพิษ ฝุ่น PM 2.5 โลหะสะสม รีสตาร์ทร่างกายจากภายใน

หมายเหตุ : แนะนำจองคิวนัดหมายดริปวิตามินล่วงหน้า

โปรแกรมดริปวิตามิน ที่ V Sqaure Clinic

โปรแกรมดริปวิตามิน

ข้อควรรู้และข้อควรระวังในการเสริมวิตามิน E

การเสริมวิตามินอีให้ได้ประโยชน์สุงสุดคือควรได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ โดยปริมาณวิตามิน E ที่แนะนำต่อวัน (RDA – Recommended Dietary Allowance) ตามคำแนะนำของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) หมอสรุปเป็นตารางแต่ละช่วงอายุดังนี้ครับ

อายุปริมาณที่แนะนำ (mg)ปริมาณสูงสุดที่รับได้ (mg)
1–3 ปี6 mg200 mg
4–8 ปี7 mg300 mg
9–13 ปี11 mg600 mg
14-18 ปี15 mg800 mg
19 ปีขึ้นไป15 mg1,000 mg

หากรับประทานที่มีประโยชน์ และครบห้าหมู่ ใน 1 วันก็จะได้รับวิตามินอีที่เพียงพอครับ แต่ก็สามารถเสริมเพิ่มได้ตามความเหมาะสม โดยในผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 1,000 mg ต่อวัน

ในกรณีที่ได้รับวิตามินอีในปริมาณที่มากเกินไปเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่าย หรือคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสียได้ครับ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเสริมวิตามินอี แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อคำนวณปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายแต่ละคนเพื่อความปลอดภัย

VSqare Tips (VSQ Tips)

ข้อควรรู้ : ก่อนการทำหัตถการ เช่น โบท็อก ฟิลเลอร์ แพทย์จะแนะนำให้งดวิตามินอีก่อนครับ เพราะอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า หยุดไหลช้า


คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับวิตามิน E

Q. วิตามินอีควรกินคู่กับอะไร และห้ามกินคู่กับอะไร ?

สามารถทานคู่กับวิตามินซี เพื่อเสริมเรื่องการต้านอนุมูลอิสระ แต่ไม่ควรกินวิตามิน E ร่วมกับยาละลายลิ่มเลือด หรืออาหารเสริมที่มีฤทธิ์แข็งตัวช้า เช่น น้ำมันอีฟนิงพริมโรส หรือน้ำมันปลา อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติครับ

Q: วิตามินอีควรกินตอนไหนดีที่สุด ?

วิตามินอีควรรับประทานพร้อมหรือหลังมื้ออาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เพื่อช่วยละลายและดูดซึมวิตามินอีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

Q. คนท้องกินวิตามิน E ได้ไหม ?

คนที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์สามารถกินวิตามิน E ได้ครับ แต่ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ 15 mg

Q. วิตามินอีแล้วช่วยลดรอยสิว รอยดำได้จริงไหม ?

ช่วยได้ครับ เนื่องจากวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว รวมถึงรอยสิวรอยดำ และจะเห็นผลได้ดีเมื่อใช้ร่วมกับวิตามินซี


สรุปวิตามิน E ดูแลทั้งสุขภาพและผิวแบบครบจบ

วิตามิน E เป็นวิตามินที่สำคัญและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิกัน บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย สามารถพบได้ในอาหารธรรมชาติ อาหารเสริม สกินแคร์ต่าง ๆ หรือเสริมด้วยการดริปวิตามิน

การได้รับวิตามิน E ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยส่งเสริมทั้งสุขภาพผิวและสุขภาพกาย แต่หากได้รับมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียได้ครับ แนะนำให้ปรึกษาปริมาณการใช้ที่เหมาะสมกับแพทย์เพื่อความปลอดภัย และรับวิตามินได้อย่างเต็มประสิทธิภาพครับ


อ้างอิง


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ
ปรึกษาหมอ
บทความแนะนำ

ดฟิลเลอร์ยกมุมปาก คืออะไร ? อันตราย ? เปลี่ยนหน้าบึ้งให้สดใส เลือกที่ไหนดี ?

Reading Time: 3 minutesฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก ให้ใบหน้าดูสดใส และอ่อนเยาว์ขึ้น เป็นหนึ่งในวิธียกมุมปากที่ได้รับความนิยมมากในตอนนี้ครับ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหามุมปากตก ทำให้ใบหน้าเศร้า ดูบึ้งตึง ทั้งยังเป็นหนึ่งในสัญญาณของวัยที่มากขึ้น สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธียกมุมปากและสนใจการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก บทความนี้หมอได้รวมข้อมูลที่ควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์

December 15, 2025 อ่านต่อ

ข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ ที่ควรรู้ เพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่...

Reading Time: 5 minutesเพื่อให้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพ เห็นผลได้อย่างเต็มที่ การดูแลตัวเองหลังฉีด Filler นับว่ามีส่วนสำคัญมาก ๆ ครับ อะไรที่ต้องระวัง ? หลังฉีดฟิลเลอร์มีข้อปฏิบัติอะไรบ้าง ? หลังฉีดฟิลเลอร์ห้ามกินอะไร ? หลังฉีดเสร็จทันทีเป็นอย่างไร ? ใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ? สวีเดน อเมริกา ต่างกันอย่าง...

Reading Time: 4 minutesปัญหาใต้ตาหลาย ๆ แบบสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาครับ เช่น ร่องน้ำตา ตาลึก ตาโหล ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา แต่จะเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี ? ที่จะแก้ปัญหาใต้ตาได้ตรงจุด หมอมีแนวทางการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับบริเวณใต้ตามาแนะนำครับ

โบท็อก BOTULAX สัญชาติเกาหลี ดีอย่างไร ราคาแพงแค่ไหน ?

Reading Time: 5 minutesโบท็อกในปัจจุบันมีอยู่หลายยี่ห้อครับ แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกัน Botox Botulax เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความสนใจ และนิยมนำมาใช้เป็นอันดับต้น ๆ ในบทความนี้หมอจะอธิบายว่า Botulax ดีไหม ดีอย่างไร? ทำไม Botox Botulax ถึงได้รับความนิยม Botulax 100 U, Botulax 200 U แตกต่างกันอย่างไร?

Botox Allergan คืออะไร ? ดีอย่างไร ? allergan botox 50 – ...

Reading Time: 6 minutes Allergan คืออะไร ? ราคาเท่าไร ? ต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร ? เนื้อหาในบทความนี้ หมอมีข้อมูลเกี่ยวกับ โบท็อกยี่ห้อ Allergan มาแนะนำครับ พร้อมบอกข้อดี ข้อเสีย เปรียบเทียบแบบต่าง ๆ ที่ควรรู้ และโบท็อก Allergan ของแท้ดูอย่างไร ? สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน ? หลังฉีดมีข้อปฏิบัติตัวอย่...

Reading Time: 5 minutesหลายคนที่มีร่องแก้มลึก มักเลือกแก้ปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่กังวลคือ หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน ? เพราะกลัวว่าฉีดแล้วจะบวมเกินจนกลายเป็นก้อน ทำให้ต้องพักหน้าหลายวัน ใครที่กังวล หมอจะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดในบทความนี้ครับ ตั้งแต่ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม บวมกี่วัน ?

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ สามารถศึกษานโยบายความเป็นส่วนตัวและจัดการความเป็นส่วนตัว ได้ที่ปุ่มตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า