วิตามิน E กุญแจสำคัญสู่ผิวใส ห่างไกลริ้วรอย
วิตามิน E เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่พบได้ในอาหารหลากหลายชนิด และเป็นส่วนผสมสำคัญในสกินแคร์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามินที่ครบเครื่องที่สุด ทั้งด้านการบำรุงผิว ลดการอักเสบ และช่วยให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรง
วิตามินอีมีประโยชน์ต่อผิวและสุขภาพอย่างไร ทำไมจึงถูกยกให้เป็นกุญแจสำคัญของการมีผิวและสุขภาพดี เสริมวิตามิน E ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง บทความนี้หมอมีคำตอบให้ครบครับ
สารบัญ วิตามิน E
วิตามิน E คืออะไร ? ทำไมถึงสำคัญต่อร่างกายและผิวพรรณ ?
วิตามินอี (Vitamin E) หรืออีกชื่อ โทโคเฟอรอล (Tocopherol) คือสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย จากการเสื่อมก่อนวัย ชะลอการเกิดริ้วรอย ช่วยฟื้นฟูผิว และเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นครับ
หากร่างกายขาดวิตามิน E จะเป็นอย่างไร ?
โดยทั่วไปภาวะขาดวิตามิน E พบได้น้อยครับ เพราะเป็นวิตามินที่สะสมในร่างกายได้ ส่วนใหญ่จะพบในคนที่มีปัญหาดูดซึมไขมันได้ยาก
ถ้าหากร่างกายขาดวิตามิน E อาจมีปัญหาเหล่านี้ตามมา
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินเซ มือสั่น
- มีปัญหาด้านการสืบพันธุ์
- มีปัญหาด้านสายตา การมองเห็นผิดปกติ มองเห็นในที่มืดแย่ลง
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ร่างกายฟื้นตัวช้าหลังเจ็บป่วย
- ผิวแห้งกร้านผิดปกติ ขาดความชุ่มชื้น
- เกิดภาวะโลหิตจาง (Anemia)
รู้คุณสมบัติเด่นของวิตามิน E ช่วยอะไรบ้าง ?
- บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ลดปัญหาผิวแห้งกร้าน
- เสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้ผิวกักเก็บน้ำให้ดีขึ้น
- ต้านอนุมูลอิสระ (Antixiodant) ชะลอความเสื่อมเซลล์
- บำรุงสมองและระบบประสาท ป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ มะเร็ง
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- ปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะ PM 2.5
ใครบ้างที่ควรเสริมวิตามินอี ?
- ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
- ผู้ที่เผชิญมลภาวะและแสงแดดอยู่เป็นประจำ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดี
- ผู้ที่พักผ่อนน้อย รู้สึกอ่อนเพลีย ภูมิตกง่าย ต้องการเสริมภูมิคุ้มกัน
วิตามิน E หาได้จากที่ไหนบ้าง ?
การได้รับวิตามิน E อย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอก เราสามารถเสริมวิตามินอีได้จากหลายแหล่ง ดังนี้
วิตามิน E จากอาหาร
วิตามิน E สามารถหาได้จากอาหารทั่วไปตามธรรมชาติครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ในอาหารที่มีไขมันดี เช่น
- กลุ่มถั่ว เมล็ดพืช อัลมอนด์ เนื้อสัตว์และอื่น ๆ
- น้ำมันพืช น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด
- ผักใบเขียว ผักโขม บร็อกโคลี
- ผลไม้ อะโวคาโด กีวี
- โปรตีนจากสัตว์ ไข่ ปลา แซลมอน
วิตามิน E จากอาหารเสริม
วิตามิน E จากอาหารเสริม มีจำหน่ายหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ด แคปซูล ซอฟต์เจล เหมาะกับคนที่รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ต้องการฟื้นฟูผิว
ทั้งนี้การทานวิตามิน E จากอาหารเสริมควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้ได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปจนเกิดอันตราย
วิตามิน E จากสกินแคร์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
วิตามินอี เป็นสารประกอบยอดนิยมในสกินแคร์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยมักผสมกับสารบำรุงอื่น ๆ เช่น วิตามินซี ไฮยาลูรอน สามารถทาลงบนผิวได้โดยตรง เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระต่าง ๆ เป็นตัวช่วยเสริมให้ผิวภายนอกแข็งแรงควบคู่กับการดูแลจากภายใน
วิตามิน E จากการดริปวิตามิน
เราสามารถรับวิตามินอีได้อย่างรวดเร็วด้วยการดริปวิตามินครับ แต่จะไม่ค่อยนิยมดริปวิตามิน E แบบเดี่ยว ๆ เพราะเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน แต่จะผสมกับสารบำรุงต่าง ๆ เช่น วิตามิน C, B หรือแร่ธาตุต่าง ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและเสริมสร้างการต้านอนุมูลอิสระ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายและผิวพรรณอย่างเร่งด่วน
กินวิตามินอีอย่างเดียวพอไหม ? ข้อจำกัดที่หลายคนไม่รู้
โดยทั่วไป เราได้รับวิตามิน E จากการรับประทานอาหารอยู่แล้ว แต่อาจมีข้อกำจัดคือ ได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอโดยเฉพาะในคนที่รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ดูดซึมได้ไม่ 100%
การรับประทานจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงสุขภาพผิว สุขภาพกายในระยะยาว แต่ถ้าหากต้องฟื้นฟูผิวและร่างกายแบบเร่งด่วนการดริปวิตามินจะตอบโจทย์มากกว่าครับ
ดริปวิตามิน (IV Drip) ทางลัดส่งวิตามินและสารอาหารฟื้นฟูร่างกายโดยตรง
การดริปวิตามิน IV Drip คือ การฉีดวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายเข้าสู่เส้นเลือดดำโดยตรง ตัวยาจะประกอบไปด้วยวิตามินหลายชนิดและแร่ธาตุสำคัญ รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะถูกปรับสูตรตามความต้องการ ช่วยซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ปรับสีผิวให้สว่างขึ้น และชะลอความเสื่อมของเซลล์
อยากบำรุงผิว เสริมภูมิคุ้มกัน ดริปวิตามินสูตรไหนดี ?
โปรแกรมดริปวิตามินที่ V Square Clinic มีให้เลือกหลายสูตรตามปัญหา ความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ซึ่งแต่ละสูตรพัฒนาขึ้นโดยแพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย มีความปลอดภัยสูง
โปรแกรมดริปวิตามิน V Bright Booster
- สูตร Super Healthy Skin ช่วยผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้น ปกป้องผิวจากรังสี UV
- สูตร Radiance Plus+ ปรับผิวกระจ่างใสสุขภาพดี ไร้จุดด่างดำ ป้องกันฝ้า กระ
- สูตร Perfect White ช่วยให้ผิวไบรท์ ลดเม็ดสี ลดผิวคล้ำเสียสะสม
- สูตร Extra Perfect White บูสต์ผิวใสเร่งด่วน ลดการสร้างเม็ดสี เสริมผิวแข็งแรง
โปรแกรมดริปวิตามิน V Healthy Booster
- สูตร Myer’s V Booster รีบูสต์ร่างกาย ลดความล้า เพิ่มความสดชื่น
- สูตร Immune V Booster เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด ภูมิแพ้ ไมเกรน
- สูตร Brain V Booster เติมพลังงานให้สมอง สำหรับคนนอนดึกตื่นเช้า
- สูตร Liver V Booster ดูแลตับ ขับของเสีย ปรับสมดุล
โปรแกรมดริปวิตามิน V Healthy Recovery
- สูตร V Anti-Hangover แก้แฮงค์ เมาค้าง ลดอาการปวดหัว
- สูตร V Anti-Hangover Plus+ แก้แฮงค์เลเวลอัพ กู้ร่างพัง บำรุงสมอง ฟื้นตัวเร็วทันใจ
- สูตร V Anti-Diabetes ปรับสมดุลน้ำตาล ต้านเบาหวาน บาลานซ์น้ำตาล
- สูตร V Anti-Pollution เคลียร์สารพิษ ฝุ่น PM 2.5 โลหะสะสม รีสตาร์ทร่างกายจากภายใน
หมายเหตุ : แนะนำจองคิวนัดหมายดริปวิตามินล่วงหน้า
โปรแกรมดริปวิตามิน ที่ V Sqaure Clinic
ข้อควรรู้และข้อควรระวังในการเสริมวิตามิน E
การเสริมวิตามินอีให้ได้ประโยชน์สุงสุดคือควรได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ โดยปริมาณวิตามิน E ที่แนะนำต่อวัน (RDA – Recommended Dietary Allowance) ตามคำแนะนำของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) หมอสรุปเป็นตารางแต่ละช่วงอายุดังนี้ครับ
| อายุ | ปริมาณที่แนะนำ (mg) | ปริมาณสูงสุดที่รับได้ (mg) |
|---|---|---|
| 1–3 ปี | 6 mg | 200 mg |
| 4–8 ปี | 7 mg | 300 mg |
| 9–13 ปี | 11 mg | 600 mg |
| 14-18 ปี | 15 mg | 800 mg |
| 19 ปีขึ้นไป | 15 mg | 1,000 mg |
หากรับประทานที่มีประโยชน์ และครบห้าหมู่ ใน 1 วันก็จะได้รับวิตามินอีที่เพียงพอครับ แต่ก็สามารถเสริมเพิ่มได้ตามความเหมาะสม โดยในผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 1,000 mg ต่อวัน
ในกรณีที่ได้รับวิตามินอีในปริมาณที่มากเกินไปเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่าย หรือคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสียได้ครับ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเสริมวิตามินอี แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อคำนวณปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายแต่ละคนเพื่อความปลอดภัย
ข้อควรรู้ : ก่อนการทำหัตถการ เช่น โบท็อก ฟิลเลอร์ แพทย์จะแนะนำให้งดวิตามินอีก่อนครับ เพราะอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า หยุดไหลช้า
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับวิตามิน E
Q. วิตามินอีควรกินคู่กับอะไร และห้ามกินคู่กับอะไร ?
สามารถทานคู่กับวิตามินซี เพื่อเสริมเรื่องการต้านอนุมูลอิสระ แต่ไม่ควรกินวิตามิน E ร่วมกับยาละลายลิ่มเลือด หรืออาหารเสริมที่มีฤทธิ์แข็งตัวช้า เช่น น้ำมันอีฟนิงพริมโรส หรือน้ำมันปลา อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติครับ
Q: วิตามินอีควรกินตอนไหนดีที่สุด ?
วิตามินอีควรรับประทานพร้อมหรือหลังมื้ออาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เพื่อช่วยละลายและดูดซึมวิตามินอีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
Q. คนท้องกินวิตามิน E ได้ไหม ?
คนที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์สามารถกินวิตามิน E ได้ครับ แต่ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ 15 mg
Q. วิตามินอีแล้วช่วยลดรอยสิว รอยดำได้จริงไหม ?
ช่วยได้ครับ เนื่องจากวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว รวมถึงรอยสิวรอยดำ และจะเห็นผลได้ดีเมื่อใช้ร่วมกับวิตามินซี
สรุปวิตามิน E ดูแลทั้งสุขภาพและผิวแบบครบจบ
วิตามิน E เป็นวิตามินที่สำคัญและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิกัน บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย สามารถพบได้ในอาหารธรรมชาติ อาหารเสริม สกินแคร์ต่าง ๆ หรือเสริมด้วยการดริปวิตามิน
การได้รับวิตามิน E ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยส่งเสริมทั้งสุขภาพผิวและสุขภาพกาย แต่หากได้รับมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียได้ครับ แนะนำให้ปรึกษาปริมาณการใช้ที่เหมาะสมกับแพทย์เพื่อความปลอดภัย และรับวิตามินได้อย่างเต็มประสิทธิภาพครับ
อ้างอิง
- National Research Council (US) Committee on Diet and Health. Diet and Health: Implications for Reducing Chronic Disease Risk. Washington (DC): National Academies Press (US); 1989. 11, Fat-Soluble Vitamins. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK218749/
- National Institutes of Health website. Vitamin E: fact sheet for health professionals. ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminE-HealthProfessional/.


