ทำความรู้จัก ระบบผิวหนัง
“ระบบผิวหนัง” คืออวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่เป็นด่านแรกในการปกป้องเราจากอันตรายภายนอก การดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรง จึงไม่เพียงช่วยให้เรามีผิวพรรณที่สวยงาม แต่ยังเป็นการรักษาสุขภาพโดยรวมของร่างกายด้วยครับ
ในบทความนี้ หมอจะพาไปรู้จักกับโครงสร้าง ผิวหนังแต่ละชั้นช่วยอะไรบ้าง ? ระบบผิวหนังที่ดี แข็งแรง มีลักษณะอย่างไร ? พร้อมแชร์วิธีดูแลผิวให้แข็งแรงด้วยตัวเองและการทำหัตถการทางการแพทย์ เพื่อให้คนไข้เข้าใจและสามารถดูแลผิวหนังได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมครับ
สารบัญ ระบบผิวหนัง
โครงสร้างระบบผิวหนัง คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
โครงสร้างระบบผิวหนัง คือ องค์ประกอบทั้งหมดที่ประกอบขึ้นเป็นผิวหนังของมนุษย์ครับ ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันร่างกายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก รวมถึงควบคุมอุณหภูมิและความชื้นของร่างกาย โดยจะประกอบด้วย 3 ชั้นผิวที่ทำหน้าที่ต่างกัน คือ
- ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
- ชั้นหนังแท้ (Dermis)
- ชั้นใต้ผิวหนัง (Hypodermis)
หมอจะอธิบายให้ฟังในหัวข้อถัดไปครับว่าระบบผิวหนังแต่ละชั้นนั้นทำหน้าที่อะไรบ้าง และทำไมการดูแลผิวหนังให้แข็งแรงถึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
ผิวหนังแต่ละชั้นช่วยอะไรบ้าง ?
1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ปราการด่านแรกของร่างกาย
ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นผิวหนังบนสุด มีความหนาประมาณ 0.05-1.5 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของร่างกาย ชั้นนี้ประกอบด้วยเซลล์หลายชนิดที่ทำหน้าที่สำคัญ เช่น
- ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำจากร่างกาย รักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิว
- ช่วยป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรีย และสารพิษจากภายนอก คอยตรวจจับและกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
- ช่วยผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งไม่เพียงแต่กำหนดสีผิวเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันอันตรายจากรังสี UV ด้วย
- ช่วยเปลี่ยน 7-dehydrocholesterol ให้เป็นวิตามิน D3 ซึ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพกระดูกและระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยในการรับความรู้สึกสัมผัส
2. ชั้นหนังแท้ (Dermis) ศูนย์กลางของความแข็งแรง
ชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นชั้นที่อยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้า มีความหนาประมาณ 0.3-3 มิลลิเมตร ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีบทบาทสำคัญหลายประการ เช่น
- ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง ป้องกันการฉีกขาดและการหย่อนคล้อย
- ช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกายผ่านกระบวนการระเหยของเหงื่อ
- ช่วยในการรับรู้สัมผัส ความเจ็บปวด อุณหภูมิ
- ช่วยป้องกันการแห้งและแตกของผิว ลดการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
- ช่วยบำรุงผม เล็บให้แข็งแรง
- ช่วยในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ปรับโครงสร้างของผิวหนังอย่างต่อเนื่อง
3. ชั้นใต้ผิวหนัง (Hypodermis) แหล่งพลังงานและการป้องกัน
ชั้นใต้ผิวหนัง (Hypodermis) เป็นชั้นที่ลึกที่สุด ประกอบด้วยเซลล์ไขมันและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีหน้าที่สำคัญดังนี้
- ช่วยในการเก็บสะสมไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย
- ช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ โดยเฉพาะในสภาวะอากาศหนาวเย็น
- ปกป้องอวัยวะภายในจากแรงกระทบภายนอก
- มีส่วนในการผลิตฮอร์โมนบางชนิด เช่น เอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ข้อควรรู้ : การทำความเข้าใจหน้าที่ของผิวหนังแต่ละชั้น จะช่วยให้คนไข้เห็นภาพรวมของระบบผิวหนังได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถดูแลผิวหนังได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพผิวในระยะยาวครับ
ระบบผิวหนังที่ดี แข็งแรง มีลักษณะอย่างไร ?
ระบบผิวหนังที่ดีและแข็งแรง เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม และความงามภายนอก หมอขออธิบายลักษณะของระบบผิวหนังที่ดีและแข็งแรง ดังนี้ครับ
- สีผิวสม่ำเสมอ : ไม่หมองคล้ำหรือมีจุดด่างดำมากเกินไป แสดงถึงการทำงานที่สมดุลของเม็ดสีเมลานิน
- ความชุ่มชื้นเหมาะสม : ไม่แห้งกร้านหรือมันเยิ้มจนเกินไป แสดงถึงการทำงานที่ดีของต่อมไขมันและความสามารถในการเก็บกักน้ำของผิว
- ความยืดหยุ่นดี :เมื่อกดผิวแล้วปล่อย ผิวจะกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว แสดงถึงปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินที่เพียงพอในชั้นหนังแท้
- พื้นผิวเรียบเนียน : ไม่หยาบกร้านหรือมีสะเก็ดแห้ง แสดงถึงการผลัดเซลล์ผิวที่สมดุล
- ไม่มีการอักเสบหรือระคายเคือง : เช่น แดง บวม คัน หรือเจ็บ แสดงถึงระบบภูมิคุ้มกันของผิวที่ทำงานได้ดี
- ทนต่อสิ่งกระตุ้นภายนอก : เช่น แสงแดด ความร้อน หรือความเย็น แสดงถึงมี skin barrier หรือมีเกราะป้องกันผิวที่ดี
- รูขุมขนเล็กและกระชับ : แสดงถึงการทำงานที่ดีของต่อมไขมันและการรักษาความสมดุลของผิว
- ไม่มีริ้วรอยก่อนวัย : ผิวที่แข็งแรงจะไม่แสดงริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร
รู้หรือไม่ ? อายุที่มากขึ้น ระบบผิวหนังและการดูแล ก็จะต่างกันออกไปด้วย

ผิวของเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ การดูแลผิวให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัยจึงสำคัญ เพื่อรักษาความแข็งแรงและชะลอการเสื่อมของระบบผิวหนังครับ
- ช่วงวัยรุ่น (Teenage Years) : เป็นวัยที่ผิวมันง่ายและเกิดสิวจากฮอร์โมน แนะนำให้ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว รวมถึงใช้มอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อลดปัญหาผิว ป้องกันริ้วรอยไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
- วัยผู้ใหญ่ต้น (Early Adulthood) : เป็นวัยที่เริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อคงความยืดหยุ่นและลดริ้วรอย เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวครับ
- วัยกลางคนและผู้สูงอายุ (Middle Age and Senior Years) : เป็นวัยที่ผิวขาดความยืดหยุ่น มีริ้วรอยชัด ควรเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน และเรตินอล (Retinol) เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และรักษาความชุ่มชื้น
การดูแลผิวให้เหมาะสมกับช่วงอายุ ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาสุขภาพผิวให้ดีเท่านั้น แต่ยังช่วยชะลอการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ดังนั้นการปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือมีปัญหาผิวเฉพาะครับ
ปัญหาผิวที่เกิดจากระบบผิวหนังผิดปกติ มีอะไรบ้าง ?
เมื่อระบบผิวหนังอ่อนแอหรือทำงานผิดปกติ จะส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา ทั้งด้านสุขภาพและความงามครับ เช่น
- ผิวแห้ง ลอก คัน เกิดจากการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิว (Skin barrier เสื่อม) ทำให้ผิวแห้งตึง ลอก และคันง่าย
- ผื่นแพ้ ผิวอักเสบ เกิดจากภูมิคุ้มกันผิวทำงานผิดปกติ ทำให้มีอาการแดง คัน หรือเป็นผื่นเรื้อรัง
- สิวซ้ำ ๆ และรูขุมขนอุดตัน เกิดจากผิวไม่สมดุล ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากเกินไป เกิดสิวอักเสบและสิวอุดตัน
- ผิวไวต่อแดด ฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดจากเม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ ทำมห้ผิวไวต่อแสงแดด เกิดฝ้า กระได้ง่าย
- ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอยก่อนวัย เกิดจากคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้เสื่อมตามอายุหรือรังสี UV
การดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรงตั้งแต่ต้น คือวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้ผิวสุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์ และพร้อมปกป้องร่างกายในทุกวันครับ
วิธีดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรง ด้วยตัวเอง
การดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรงด้วยตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน หมอขอแนะนำวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ดังนี้ครับ
- ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือคลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง
- ทามอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังและป้องกันการแห้งกร้าน
- ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดด เพื่อช่วยปกป้องผิวจากรังสี ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อที่มีโปรตีน เพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวจากภายใน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวหนัง
- ออกกำลังกายเพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวหนังได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างวัน
- งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ไม่แกะ หรือบีบสิว เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็น
วิธีดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรง ด้วยหัตถการทางการแพทย์
นอกจากการดูแลผิวด้วยตัวเองแล้ว การเลือกทำหัตถการทางการแพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเสริมสร้างผิวหนังให้แข็งแรงขึ้นได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลชัดเจนครับ ซึ่งก็จะมีหลายรูปแบบ หลายหัตถการที่มีคุณสมบัติและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามนี้ครับ
1. ฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ใช้สารเติมเต็มไฮยาลูรอน หรือ ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเพื่อเติมเต็มริ้วรอยลึก ร่องลึกบนใบหน้า และเพิ่มวอลลุ่มให้กับบริเวณที่มีการสูญเสียความแน่นของผิว เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ริมฝีปาก หรือขมับ
หลังฉีดฟิลเลอร์ผิวจะมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใสมากขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันทีหลังจากการฉีด และสามารถคงอยู่ได้นาน 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ครับ
2. ฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ คือหัตถการที่ใช้สาร โบทูลินัมท็อกซิน (Botulinum Toxin) เพื่อคลายกล้ามเนื้อ ลดการเกิดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น หน้าผาก คิ้ว และรอยตีนกา ช่วยให้ผิวเรียบตึงและดูอ่อนเยาว์ขึ้น
นอกจากนี้ยังช่วย ปรับรูปหน้า ลดกราม และยกมุมปาก ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3–6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ปริมาณยา และตำแหน่งที่ฉีดครับ
3. เครื่องยกกระชับผิว
การยกกระชับผิวเป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยฟื้นฟูระบบผิวหนังให้แข็งแรง กระชับ และดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่าตัด ปัจจุบันมีเครื่องยกกระชับผิวหลายประเภทที่ให้ผลลัพธ์แตกต่างกันครับ เช่น
- Volnewmer : ใช้คลื่น Hybrid RF ผสานอัลตราซาวด์ ช่วยกระชับผิวพร้อมฟื้นฟูคอลลาเจน เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวแน่น กระชับ และเรียบเนียน
- Ulthera Prime : ใช้คลื่นอัลตราซาวด์แบบ Focused Ultrasound (MFU) ลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อยกกระชับผิว ปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องพักฟื้น
- Thermage FLX : ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radiofrequency) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแน่น ลดเหนียง และเรียบเนียนขึ้น
- Ultraformer MPT : เครื่องยกกระชับรุ่นใหม่ ใช้คลื่น Micro & Macro Focused Ultrasound ช่วยยกผิวให้แน่น ลดความหย่อนคล้อย พร้อมฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์
4. ฉีด Collagen Biostimulator
การฉีด Collagen Biostimulator เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยฟื้นฟูระบบผิวหนังให้แข็งแรง ดูกระชับ เรียบเนียน และอ่อนเยาว์ขึ้น โดยสารจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน 1-2 ปี เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดครับ
ตัวอย่างยี่ห้อ Biostimulator ยอดนิยม
- Sculptra : กระตุ้นคอลลาเจนลึก ฟื้นฟูผิวจากภายใน เหมาะกับผู้ที่ผิวบางหรือขาดวอลลุ่ม
- Radiesse : เติมเต็มริ้วรอยพร้อมกระตุ้นคอลลาเจน เหมาะกับผิวที่ต้องการความกระชับและเรียบเนียน
- HArmonyCa : ผสานพลัง Hyaluronic Acid กับ Calcium Hydroxyapatite ฟื้นฟูผิวและปรับรูปหน้าในคราวเดียว
- Profhilo : ไฮยาลูรอนิกแอซิดเข้มข้น ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้ยืดหยุ่นและดูอิ่มน้ำ
- JuveLook : ผสม PLA และ HA กระตุ้นคอลลาเจนพร้อมบำรุงผิวให้เรียบเนียนจากภายใน
- UltraCol 200 : ใช้เทคโนโลยี PDO ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ผิวแน่นขึ้นและดูอ่อนวัยยาวนาน
5. ฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสหน้าใส หรือ Mesotherapy เป็นการฉีดสารบำรุงผิว เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ เข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใส เรียบเนียน และแข็งแรงมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลเร็ว โดยไม่ต้องพักฟื้นครับ
ตัวอย่างยี่ห้อเมโสหน้าใสยอดนิยม
- Neoderm Acne : ช่วยลดสิว รอยแดง และรอยดำ พร้อมฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง
- Neoclear : สูตรเฉพาะสำหรับผิวที่มีฝ้า กระ และรอยดำ ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น
- Neo Glutanex : บำรุงผิวให้กระจ่างใสด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและ PDRN ช่วยให้ผิวโกลว์สุขภาพดี
- REVS NCTF : ช่วยฟื้นฟูผิวลึกถึงระดับเซลล์ เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิว
- Tensonez : เติมสารบำรุงให้ผิวเปล่งปลั่ง ลดความหมองคล้ำ เหมาะกับผู้ที่พักผ่อนน้อย
- Made Collagen : ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน ลดสิว ฝ้า กระ และรอยแดง
- Alpha Arbutin : ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- Fillmed NCTF : เติมเต็มความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวอิ่มฟูดูอ่อนวัย
6. ฉีด Skin Booster
การฉีด Skin Booster คือการเติมสารบำรุงผิวเข้มข้นเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิวให้ชุ่มชื้น อิ่มฟู กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินจากภายใน
สาร Skin Booster มักประกอบด้วย ไฮยาลูรอนิกแอซิด วิตามิน และแร่ธาตุ ช่วยปรับสมดุลผิว ลดความแห้งกร้าน เหนื่อยล้า ทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์ และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต
ตัวอย่าง Skin Booster ยอดนิยม
- Rejuran : ฟื้นฟูผิวด้วยสารสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน (PN) ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้แข็งแรงและเรียบเนียนขึ้น
- Exosome ASCE+ : ใช้เทคโนโลยี Exosome ส่งสัญญาณกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ลดการอักเสบและฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดี
- ฟิลเลอร์ Skin Booster : ฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic acid (HA) ที่มีโมเลกุลเล็ก เนื้อบาง ละเอียด เข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในทุกชั้นผิว ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และช่วยรักษาคุณภาพผิว (Skin Quality)
7. ทำเลเซอร์
การทำเลเซอร์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยฟื้นฟูระบบผิวหนังให้แข็งแรงและสุขภาพดีขึ้นครับ โดยจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดรอยดำ ฝ้า กระ รวมถึงแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำและรูขุมขนกว้าง
ปัจจุบันที่ V Square Clinic มีเครื่องเลเซอร์ให้เลือกหลายชนิดตามปัญหาผิว เช่น
- Pico Plus / Pico Sure Pro : ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว และปรับสีผิวให้กระจ่างใส
- Sylfirm X Plus : ผสานเทคโนโลยี RF และ Microneedle เพื่อฟื้นฟูผิวลึก แก้ปัญหาผิวแดง รอยดำ รอยสิว และรูขุมขน
- Fotona SP Dynamis : เลเซอร์ดูแลผิวแบบครบวงจร ทั้งฟื้นฟูคอลลาเจน ลดริ้วรอย และยกกระชับผิว
- LED Bellalux : ใช้พลังงานแสง LED บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ลดการอักเสบ เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
หากยังไม่แน่ใจว่าวิธีฟื้นฟูระบบผิวหนังแบบไหนเหมาะกับคนไข้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือมีโรคผิวหนังอื่น ๆ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกทำ เพื่อความปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดครับ
แนวทางดูแลผิวแบบองค์รวม เพื่อผิวแข็งแรง
การดูแลผิวให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน ควรดูแลทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้ผิวสุขภาพดีจากรากฐานครับ โดยหมอแนะนำแนวทางการดูแลผิวดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก ผลไม้ และวิตามินซี
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และนอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมง/วัน
- ใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยน เหมาะกับสภาพผิว
- ทาครีมกันแดดทุกวัน ป้องกันรังสี UV ที่ทำร้ายผิว
- ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อย หรือล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจัด
- ทำหัตถการทางการแพทย์ เพื่อฟื้นฟูผิวเฉพาะจุด
ฟื้นฟูระบบผิวหนังให้แข็งแรง ที่ V Square Clinic
ที่ V Square Clinic เราให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน เพื่อให้คนไข้มั่นใจได้ว่าได้รับการดูแลที่ดีที่สุดครับ
- ✅ ใช้ตัวยาและเครื่องมือของแท้ 100% คนไข้สามารถตรวจสอบที่มาผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการได้
- ✅ แพทย์มีประสบการณ์สูงทุกเคส ผ่านการเทรนนิ่งและมีประสบการณ์ด้านการปรับรูปหน้าโดยเฉพาะ
- ✅ มีหัตถการหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว ความต้องการและงบประมาณของคนไข้แต่ละราย
- ✅ ประเมินใบหน้าละเอียด วิเคราะห์สภาพผิวและโครงสร้างใบหน้าเฉพาะบุคคล เพื่อเลือกวิธีฟื้นฟูที่เหมาะที่สุด
- ✅ ให้บริการด้วยความโปร่งใสและปลอดภัย พร้อมมีการติดตามผลหลังฉีดและให้คำปรึกษาต่อเนื่อง
- ✅ รีวิวแน่นจากผู้ใช้จริง มีเคส Before–After และได้รับความไว้วางใจจากดารา อินฟลูเอนเซอร์ และผู้ใช้บริการจริง
- ✅ ไม่ยัดเยียดคอร์ส ไม่มีเซลส์ ปรึกษาแพทย์โดยตรง ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับระบบผิวหนัง (FAQ)
ผิวหนัง ทำหน้าที่อะไรในร่างกาย ?
ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ห่อหุ้มร่างกาย ทำหน้าที่ปกป้องจากเชื้อโรค มลภาวะ และรังสี UV พร้อมควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และช่วยรับความรู้สึก เช่น การสัมผัส ความร้อน หรือความเย็น
ผิวที่เสื่อมจากอายุ สามารถฟื้นฟูให้ดีขึ้นได้ไหม ?
ทำได้ครับ โดยการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ด้วยหัตถการ เช่น Biostimulator, Skin Booster หรือเครื่องยกกระชับผิว เช่น Ulthera, Thermage, MPT
ล้างหน้าบ่อย ทำให้ผิวเสียจริงไหม ?
การล้างหน้าบ่อย ทำให้ผิวเสียจริงครับ เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวแห้ง ระคายเคือง และกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
สัญญาณที่บ่งบอกว่าระบบผิวหนังเริ่มอ่อนแอ คืออะไร ?
เมื่อผิวเริ่มแห้ง ลอก คัน หรือเกิดผื่นแดงง่าย แสดงว่าระบบป้องกันผิว (skin barrier) เริ่มอ่อนแอ อาจตามมาด้วยปัญหาผิวอักเสบ สิวซ้ำ หรือไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ
ทำไมต้องดูแลระบบผิวหนังอย่างต่อเนื่อง ?
เพราะผิวหนังเป็นด่านแรกที่ปกป้องร่างกายจากสิ่งแวดล้อม หากละเลยการดูแล อาจเกิดการเสื่อมสะสม เช่น ผิวหมองคล้ำ สิวอักเสบ หรือริ้วรอยก่อนวัยได้ง่าย การดูแลอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยให้ผิวแข็งแรงและดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอครับ
ควรเริ่มฟื้นฟูผิวอย่างไร เมื่อผิวอ่อนแอหรือแพ้ง่าย ?
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง เช่น สครับ กรดผลไม้ หรือแอลกอฮอล์ แล้วเน้นบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว พร้อมปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกหัตถการฟื้นฟู เช่น เมโสหน้าใส หรือ Skin Booster
ผิวแพ้ง่าย สามารถทำเลเซอร์หรือฉีด Skin Booster ได้ไหม ?
ผิวแพ้ง่าย สามารถทำเลเซอร์หรือฉีด Skin Booster ได้ครับ โดยเฉพาะตัวยาที่อ่อนโยนต่อผิว เช่น Rejuran หรือ Exosome ที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวโดยไม่ระคายเคืองครับ
สรุประบบผิวหนังสำคัญยังไง
ระบบผิวหนังแต่ละชั้น มีบทบาทสำคัญในการปกป้องร่างกายและรักษาสุขภาพผิวโดยรวม การดูแลที่ถูกต้องจะช่วยให้ทุกชั้นของผิวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี และมีความสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ
สำหรับคนไข้ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพผิวหรือต้องการคำแนะนำเฉพาะบุคคล ทีมแพทย์ V Square Clinic ยินดีให้คำปรึกษาและคำแนะนำที่เหมาะสมกับผิวของคนไข้ เพื่อระบบผิวหนังมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว หรือหากมีข้อสงสัยอื่น ๆ สามารถปรึกษาหมอได้ในช่องทางออนไลน์ หรือเข้ามาปรึกษาหมอที่คลินิก ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ




