ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin)
ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin) เป็นปัญหาที่หลายคนเจอโดยไม่รู้ตัวครับ บางรายอาจเข้าใจผิดว่าตัวเองแค่ผิวแห้ง หรือผิวมันมากกว่าคนทั่วไป แต่ไม่ว่าจะใช้ครีมหรือสกินแคร์ก็ไม่ดีขึ้น หากไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ คือการเติมความชุ่มชื้นและน้ำให้กับผิวอย่างเพียงพอครับ
ในบทความนี้ หมอจะแนะนำว่า ผิวขาดน้ำคืออะไร ลักษณะอาการแตกต่างจากผิวแห้ง และผิวมันอย่างไร ? เกิดจากสาเหตุใด ? หากต้องการแก้ปัญหาผิวขาดน้ำแบบเร่งด่วน สามารถใช้วิธีไหนได้บ้าง ?
สารบัญ ผิวขาดน้ำ
ผิวขาดน้ำ คืออะไร ?
ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin) คือ ภาวะที่ผิวมีน้ำใต้ผิวน้อย และขาดความชุ่มชื้น ทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งตึง ผิวลอกเป็นขุย แต่งหน้าไม่ติด ผิวดูหมองคล้ำ และมองเห็นริ้วรอยชัดเจน ในบางรายอาจรู้สึกว่าตัวเองผิวมันเยิ้มมากกว่าปกติ และมองเห็นรูขุมขนกว้างได้
ปัญหาผิวขาดน้ำสามารถเกิดได้กับผิวทุกประเภท ทั้งผิวมัน ผิวแห้ง และผิวผสม หากขาดการดูแลผิวที่เหมาะสมครับ ซึ่งผิวขาดน้ำ ผิวแห้ง และผิวมัน แตกต่างกันอย่างไร ? หมอเจาะลึกให้ทีละประเด็น
ผิวขาดน้ำ vs ผิวแห้ง ไม่เหมือนกัน
ผิวขาดน้ำ และผิวแห้งไม่เหมือนกันครับ หมอสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบแบบนี้
| ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin) | ผิวแห้ง (Dry skin) | |
|---|---|---|
| ภาวะชั่วคราวที่ผิวขาดความชุ่มชื้น เกิดได้กับผิวทุกประเภท ทั้งผิวแห้ง ผิวมัน และผิวผสม | ความหมาย | ประเภทผิวที่มีมาแต่กำเนิด มีความมันบนผิวน้อย |
| ผิวแห้งตึง หรือบางครั้งผิวมันเยิ้ม ผิวลอกเป็นขุย ผิวโทรมไม่สดใส มองเห็นริ้วรอยชัดเจน | ลักษณะ | ผิวแห้งตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะหลังล้างหน้า ในช่วงที่อากาศแห้ง ผิวอาจลอกเป็นขุยได้ |
| พฤติกรรมที่ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น เช่น ดื่มน้ำน้อย และใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดไม่เหมาะสม | สาเหตุ | ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาได้น้อย |
| ผิวคืนสู่สภาพเดิมช้า ขาดความยืดหยุ่น | วิธีเช็กด้วยการดึงผิวบริเวณแก้มแล้วปล่อยมือ | ผิวคืนสู่สภาพผิวเดิมอย่างรวดเร็ว |
โดยสรุปแล้วผิวแห้งเป็นลักษณะผิวตามธรรมชาติครับ แต่หากขาดการดูแลที่เหมาะสม ไม่บำรุงผิว หรือดื่มน้ำน้อยเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะผิวขาดน้ำได้ ซึ่งจะส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ อ่อนล้า ไม่สดใส และหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจทำให้ผิวบอบบาง แพ้ง่าย และเสี่ยงต่อปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้ครับ
ผิวมันมากผิดปกติ อาจมีสาเหตุมาจากผิวขาดน้ำ
หากมีผิวมันมากผิดปกติ อาจมีสาเหตุมาจากผิวขาดน้ำได้ครับ เรียกว่า ผิวมันขาดน้ำ เกิดจากใต้ผิวมีน้ำไม่เพียงพอ จึงผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นเพื่อชดเชยและรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ผลที่ตามมาคือใบหน้ามีความมันส่วนเกินมาก รูขุมขนกว้าง แต่ลูบแล้วผิวสาก ผิวลอกเป็นขุย หรือมีผดเล็ก ๆ ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน มีโอกาสเกิดสิวอุดตันได้ง่าย
ปัญหาที่พบบ่อย คือ คนไข้เข้าใจผิดว่าผิวมันอยู่แล้ว เลยละเลยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ครับ ซึ่งจะทำให้ผิวเสียสมดุลและอาการแย่ลงได้ แนวทางการแก้ไขเบื้องต้นควรเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวก่อน และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวมัน เพื่อช่วยปรับสมดุลน้ำและน้ำมันในผิวให้อยู่ในระดับที่พอดี
เช็กลิสต์ ลักษณะผิวขาดน้ำเป็นอย่างไร ?
ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ มักมีสัญญาณเตือน ดังนี้
- ผิวแห้งตึง หยาบกร้าน : รู้สึกผิวตึง และแห้งกร้าน ลูบแล้วรู้สึกผิวไม่เรียบเนียน บางรายอาจมีอาการคัน
- ผิวมันมากกว่าปกติ : ผิวขาดน้ำกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำมันชดเชย ทำให้หน้ามันง่าย มองเห็นรูขุมขนกว้างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณ T-zone และเสี่ยงเกิดสิวอุดตัน
- ผิวลอกเป็นขุย : มักเกิดบริเวณแก้ม จมูก หรือหน้าผาก เนื่องจากเซลล์ผิวขาดความยืดหยุ่นและหลุดลอกออกมา
- ริ้วรอยเล็ก ๆ ชัดขึ้น : ผิวไม่อิ่มฟู ทำให้ริ้วรอยบนหน้าผาก ใต้ตา หรือร่องแก้มเห็นได้ชัดเจน
- ผิวหมองคล้ำ : การผลัดเซลล์ผิวช้าลง ทำให้เซลล์ผิวเก่าสะสม ส่งผลให้ผิวดูหมอง ไม่สดใส
- ผิวแดง ระคายเคืองง่าย : ผิวขาดน้ำทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ ผิวไวต่อแสงแดด ฝุ่น หรือสารเคมี
หากปล่อยให้ผิวขาดน้ำนาน ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?
หากปล่อยให้ผิวขาดน้ำนาน ๆ มักจะตามมาด้วยปัญหาต่าง ๆ ดังนี้ครับ
- ผิวระคายเคืองง่าย ไวต่อสิ่งกระตุ้น เช่น แสงแดด ฝุ่น หรือสารเคมี
- ผิวอ่อนแอ เกราะป้องกันผิวเสียหาย ทำให้สิ่งสกปรกและเชื้อโรคซึมผ่านเข้าได้ง่ายขึ้น
- เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวไม่อิ่มฟู ทำให้ร่องเล็ก ๆ ดูชัดเจนขึ้น
- ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวช้าลงและผิวขาดออกซิเจน
- เครื่องสำอางไม่ติดผิว แต่งหน้าแล้วตกร่อง หลุดง่าย
หมอขออธิบายแบบนี้ครับ น้ำในชั้นผิวมีความสำคัญต่อสุขภาพผิวอย่างมาก โดยผิวหนังของเรามีโครงสร้างหลัก ๆ อยู่ 2 ชั้นที่เกี่ยวข้องกับการกักเก็บน้ำ ได้แก่
- ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) : ผิวชั้นนอกสุด มีปริมาณน้ำประมาณ 10-30% ทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกัน ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียน้ำ และลดการซึมผ่านของสารที่เป็นอันตราย หากชั้นนี้ขาดน้ำ ผิวจะดูแห้งกร้านและอ่อนแอ
- ชั้นหนังแท้ (Dermis) : ผิวชั้นลึกที่มีน้ำถึง 70-80% มีส่วนประกอบหลักเป็นคอลลาเจน อีลาสติน และไฮยาลูรอน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง และแข็งแรง การมีน้ำในชั้นนี้เพียงพอจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น
ดังนั้นการดูแลไม่ให้ผิวขาดน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะน้ำในชั้นผิวมีบทบาทโดยตรงต่อความชุ่มชื้น ความแข็งแรง และความอ่อนเยาว์ของผิวครับ
สาเหตุเหล่านี้ทำให้ผิวขาดน้ำ
ผิวขาดน้ำเกิดได้จากทั้งปัจจัยภายในร่างกาย และพฤติกรรมหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว หากละเลยไปนาน ๆ จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและอ่อนแอได้ง่าย สาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้
- อายุที่เพิ่มขึ้น : เมื่ออายุมากขึ้น ต่อมไขมันผลิตน้ำมันน้อยลง ไขมันระหว่างเซลล์ลดลง ทำให้ผิวกักเก็บน้ำได้ไม่ดีเหมือนเดิม
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : เช่น ช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือวัยทอง ทำให้สมดุลผิวเสียไป ส่งผลต่อความชุ่มชื้นในผิว
- การดื่มน้ำน้อยเกินไป : ร่างกายขาดน้ำทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นจากภายใน ผิวจึงแห้งตึง หมองคล้ำ
- สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม : อากาศหนาว แห้ง อยู่ห้องแอร์นาน ๆ หรือแดดแรง ล้วนทำให้ผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย ทำให้ผิวแห้งแตก หรือผิวขาดน้ำได้
- การล้างหน้าไม่ถูกวิธี : ล้างหน้าบ่อยเกินไป ใช้น้ำร้อน หรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่แรงเกินไป จะทำให้ไขมันธรรมชาติหลุดออก ส่งผลให้ผิวเสียสมดุล
- การใช้สกินแคร์ที่ไม่เหมาะสม : ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารเพิ่มความชุ่มชื้น หรือมีสารระคายเคืองสูง อาจทำให้ผิวอ่อนแอและขาดน้ำ
- การผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป : สครับหรือขัดผิวแรง ๆ บ่อยเกินไป ทำให้ผิวสูญเสียเกราะป้องกันและกักเก็บน้ำได้น้อยลง
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน : การนอนดึก เครียด สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการออกแดดโดยไม่ป้องกันผิว ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและขาดน้ำได้เร็วขึ้น
- การกินอาหารไม่เหมาะสม : ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อผิว เช่น วิตามินซี วิตามินอี กรดไขมันจำเป็น (Omega-3, Omega-6) จะทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ขาดความชุ่มชื้น และฟื้นฟูได้ช้าลง
- โรคประจำตัวบางชนิด : เช่น โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic dermatitis) หรือปัญหาฮอร์โมนบางอย่าง อาจส่งผลต่อการกักเก็บน้ำในผิวโดยตรง
แก้ผิวขาดน้ำด้วยตัวเองได้อย่างไร ?
หากผิวขาดน้ำไม่รุนแรง คนไข้สามารถแก้ไขด้วยการปรับพฤติกรรม และการดูแลผิว เพื่อฟื้นฟูผิวให้อิ่มน้ำ สุขภาพดี และแข็งแรงในระยะยาว ซึ่งมีแนวทาง ดังนี้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ควรดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตร หรือตามน้ำหนักตัว การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอช่วยเติมความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- ล้างหน้าอย่างถูกวิธี : ใช้น้ำอุณหภูมิห้อง ล้างเพียงวันละ 2 ครั้ง (เช้า–ก่อนนอน) ใช้เวลาประมาณ 30 วินาทีต่อครั้ง หากล้างบ่อยเกินไปหรือน้ำร้อนเกินไป จะยิ่งทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น
- ลดการสครับหรือขัดผิวแรง ๆ : การผลัดเซลล์ผิวบ่อยหรือใช้สครับรุนแรง จะทำให้เกราะป้องกันผิวเสียสมดุล ควรเลือกวิธีที่อ่อนโยน เช่น สครับจากธรรมชาติ และทำเพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็พอ
- ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้น : การทามอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำช่วยกักเก็บน้ำในผิว ทำให้ผิวอิ่มฟูและแข็งแรงขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ : การนอนหลับอย่างมีคุณภาพอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายและผิวได้ฟื้นฟูเต็มที่
- ลดความเครียด : ความเครียดทำให้ฮอร์โมนเสียสมดุล ส่งผลต่อเกราะป้องกันผิวและการกักเก็บน้ำในผิว
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายผิว : เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการออกแดดโดยไม่ปกป้องผิว
สูตรคำนวณปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวัน
ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี ?
การเลือกสกินแคร์ หรือผลิตภัณฑ์สำหรับผิวขาดน้ำ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อเพียงอย่างเดียว แต่ควรสังเกต ส่วนผสม (Ingredients) ร่วมด้วยครับ
ส่วนผสมที่ควรมองหา
- ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) : ช่วยดึงน้ำและกักเก็บไว้ในผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟู ชุ่มชื้นยาวนาน
- กลีเซอรีน (Glycerin) : สารให้ความชุ่มชื้นที่ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิว และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว
- เซราไมด์ (Ceramides) : เสริมเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- อโลเวรา (Aloe Vera) : เติมความชุ่มชื้น ปลอบประโลมให้ผิวรู้สึกเย็นสบาย และบรรเทาอาการระคายเคือง
- แพนทีนอล (Panthenol หรือ Provitamin B5) : ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยง
- แอลกอฮอล์ (Alcohol Denat.) : ทำให้ผิวแห้ง ระคายเคืองง่าย โดยเฉพาะผิวที่บอบบางอยู่แล้ว
- น้ำหอม (Fragrance/Perfume) : อาจก่อให้เกิดการแพ้และระคายเคืองในผู้ที่มีผิวขาดน้ำและผิวบอบบาง
- ซัลเฟต (Sulfates เช่น SLS, SLES) : สารทำความสะอาด และทำให้เกิดฟอง ช่วยให้ล้างสิ่งสกปรกได้ง่าย แต่อาจทำให้ผิวแห้ง และไม่เหมาะกับการใช้ตอนที่ผิวระคายเคือง
เปลี่ยนผิวขาดน้ำ ให้เป็นผิวอิ่มน้ำแบบเร่งด่วน ทำอย่างไร ?
หากต้องการแก้ปัญหาผิวขาดน้ำ หรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว งานผิวกระจก (Glass Skin) แบบเร่งด่วน จะเหมาะกับการทำหัตถการความงามครับ ซึ่งในปัจจุบันก็มีด้วยกันหลายตัว เช่น
ก่อนตัดสินใจเลือกหัตถการแก้ไขปัญหาผิวขาดน้ำ ควรให้แพทย์ประเมินจากสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ และงบประมาณของคนไข้ก่อนครับ เพราะแต่ละวิธีมีส่วนผสม กลไกการทำงาน ระยะเวลาเห็นผล และราคาที่แตกต่างกัน เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น เดี๋ยวหมอจะอธิบายรายละเอียดของแต่ละตัวให้ครับ
(พญ.พิชชา ธนุภาพรังสรรค์ เลข ว.63467)
ที่ V Square Clinic ก่อนแก้ปัญหาผิวขาดน้ำ แพทย์จะช่วยประเมินใบหน้า และสภาพผิวของคนไข้อย่างละเอียด หมอให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ
1. ดริปวิตามินผิว แก้ปัญหาผิวขาดน้ำ เติมความชุ่มชื้น
การดริปวิตามินผิวเป็นการนำวิตามิน แร่ธาตุ สารอาหารเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ผ่านทางหลอดเลือดดำครับ ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น นุ่มลื่น และกระจ่างใสขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเมื่อทำต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
การดริปวิตามินผิว หรือ IV Drip ช่วยแก้ปัญหวผิวขาดน้ำได้อย่างตรงจุด เนื่องจากมีส่วนประกอบของวิตามินหลายชนิด ที่ะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ลดความแห้งกร้านลงได้ แลพยัง ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพผิวให้แข็งแรงจากภายใน มีทั้งสูตรที่เน้นสุขภาพ และงานผิวครับ
- ส่วนประกอบหลัก : วิตามิน เกลือแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินบีรวม
- กลไก : นำสารน้ำเข้าสู่ร่างกายผ่านทางหลอดเลือดดำโดยตรง ร่างกายดูดดูดซึมเร็ว
- การเห็นผล : เห็นผลสุขภาพผิวดีขึ้นตั้งแต่ครั้งที่ 2 แนะนำให้ทำต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง
- ระยะเวลาคงผลลัพธ์ : อยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน
- ราคา : 1,500-3,900.-/ครั้ง ขึ้นอยู่กับสูตร
ตัวอย่างสูตรดริปวิตามินผิวที่ V Square Clinic
หากคนไข้ต้องการเน้นแก้ปัญหาผิวขาดน้ำ และฟื้นฟูผิวให้เนียน กระจ่างใส และสุขภาพดี โปรแกรม IV Drip กลุ่ม V Bright Booster ของ V Square Clinic มีให้เลือกถึง 4 สูตรครับ
2. ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว หรือฟิลเลอร์ Skin Booster
สาร HA (Hyaluronic Acid) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของฟิลเลอร์ มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดีครับ ในการฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว หมอจะใช้ฟิลเลอร์ที่เนื้อเจลละเอียด เกลี่ยง่าย โมเลกุลเล็ก สามารถช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวโดยตรง ฟื้นฟูผิวแห้งกร้านให้อิ่มน้ำ ฉ่ำวาว และช่วยเติมหลุมสิว ริ้วรอยเล็ก ๆ ให้ผิวเรียบเนียน มีด้วยกันหลายยี่ห้อ/รุ่น เช่น Belotero Revive, Restylane Vital Light และ Skinvive
- ส่วนประกอบหลัก : Crosslinked HA (Belotero Revive มีส่วนผสมของ Glycerol ด้วย)
- กลไก : เติมความชุ่มชื้นให้ผิวแบบเร่งด่วน ให้ผิวยืดหยุ่น อิ่มน้ำ และเรียบเนียน
- การเห็นผล : เห็นการเปลี่ยนแปลงทันที และผลลัพธ์ชัดเจน 2 สัปดาห์
- ระยะเวลาคงผลลัพธ์ : อยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ/รุ่น
- ราคา : 13,000-14,000.-/CC
3. เมโสหน้าใส ฉีดผิวหน้าฉ่ำวาว ลดปัญหาผิวขาดน้ำ
โปรแกรมเมโสหน้าใสเป็นการเติมวิตามินและสารอาหารเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้โดยตรง จึงออกฤทธิ์ได้ดี และเห็นการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าการทาสกินแคร์ ในรายที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ ผิวแห้งกร้าน หรือต้องการให้ผิวฉ่ำวาว จะนิยมฉีดเมโสหน้าใสยี่ห้อ Filorga และ REVS ที่มีส่วนประกอบหลักเป็น HA ครับ
- ส่วนประกอบหลัก : วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารที่จำเป็นกับผิว เช่น HA, Collagen, PN
- กลไก : เติมสารอาหารเข้าไปยังผิวชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นชั้นผิวสำคัญ ประกอบไปด้วยคอลลาเจน ไฮยาลูรอน และอีลาสติน
- การเห็นผล : เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 3 วัน และชัดเจนใน 14 วัน
- ระยะเวลาคงผลลัพธ์ : อยู่ได้นาน 1 เดือน เมื่อฉีดต่อเนื่อง
- ราคา : 2,500-9,000.-/ครั้ง ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ
4. Rejuran ช่วยฟื้นฟูผิวขาดน้ำ แห้งกร้าน
Rejuran เป็น Skin Booster ที่ได้รับความนิยม ช่วยฟื้นฟูผิวขาดน้ำ แห้งกร้าน ให้กลับมาชุ่มชื้น เรียบเนียน และกระจ่างใส แบบ Glass Skin โดยใช้สาร PN ที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายของมนุษย์ เร่งกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวครับ จึงให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว สามารถแก้ไขปัญหาผิวหลาย ๆ อย่างไปพร้อมกันได้
- ส่วนประกอบหลัก : สาร PN (Polynucleotide) สกัดได้จาก Salmon DNA
- กลไก : สาร PN เข้าไปเร่งกระบวนการซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ต้านการอักเสบ เชื่อมต่อหลอดเลือดเล็ก ๆ ในเซลล์ และกระตุ้นการหลั่ง Growth Factor
- การเห็นผล : เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 3-5 วัน และผลลัพธ์ชัดเจนใน 4 สัปดาห์
- ระยะเวลาคงผลลัพธ์ : อยู่ได้นาน 6-12 เดือน เมื่อฉีดต่อเนื่อง 4 ครั้ง
- ราคา : 9,000-10,000.-/Syringe (2.7 CC)
5. Profhilo ช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำ เติมความชุ่มชื้น
Profhilo เป็นการใช้ HA เข้มข้นสูง ฟื้นฟูเซลล์สำคัญในชั้นโครงสร้างผิว ช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น ลดโอกาสผิวขาดน้ำ แห้งตึง และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวอิ่มฟู เรียบเนียน และลดริ้วรอยจางลง
- ส่วนประกอบหลัก : Non-crosslinked HA ในรูปแบบ HCC (Hybrid Cooperative Complex)
- กลไก : กระตุ้นการทำงานของเซลล์ในชั้นผิวต่าง ๆ เช่น Keratinocytes ในชั้นหนังกำพร้า, Fibroblast ในชั้นหนังแท้ และ Adipocyte ในชั้นใต้ผิวหนัง
- การเห็นผล : เริ่มเห็นผลใน 7-14 วัน ชัดเจนใน 1-2 เดือน
- ระยะเวลาคงผลลัพธ์ : อยู่ได้นาน 6-12 เดือน เมื่อฉีดต่อเนื่อง 2 ครั้งในระยะเวลา 1 เดือน
- ราคา : 20,000-30,000.-/Syringe
6. Juvelook เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
Juvelook เป็น Hybrid Biostimulator ที่มีส่วนประกอบหลักสาร PDLLA (Poly D, L-Lactic Acid) และ Non-Crosslinked HA สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แก้ปัญหาผิวขาดน้ำได้ทันทีหลังฉีด รวมถึงยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว นิยมฉีดฟื้นฟูผิวทั่วใบหน้า หรือเฉพาะจุด เช่น ลดรอยแตก รอยแผลเป็น หรือลดความหมองคล้ำใต้ตา
- ส่วนประกอบหลัก : PDLLA และ Non-Crosslinked HA
- กลไก : เติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวทันทีหลังฉีด และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
- การเห็นผล : ผิวชุ่มชื้นขึ้นทันทีหลังฉีด เมื่อร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมา ผิวจะเริ่มกระชับขึ้นในช่วง 2-4 สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ใน 3-6 เดือน
- ระยะเวลาคงผลลัพธ์ : อยู่ได้นาน 1 ปีครึ่ง เมื่อฉีดต่อเนื่อง
- ราคา : 15,000.-/ขวด (6 CC)
7. Neauvia Hydro Deluxe แก้ปัญหาผิวขาดน้ำ ผิวแห้งกร้าน
Neauvia Hydro Deluxe เป็นลูกผสมระหว่างฟิลเลอร์งานผิวกับ Collagen Biostimulator ครับ สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาผิวขาดน้ำ ผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ และเพิ่มความยืดหยุ่น เรียบเนียนให้ผิวได้ มีส่วนประกอบหลักเป็น HA และสารกระตุ้นคอลลาเจน CaHA รวมถึง L-Proline กับ Glycine ที่ช่วยลดอาการบวมหลังฉีด
- ส่วนประกอบหลัก : Non Crosslinked HA และ CaHA
- กลไก : เติมความชุ่มชื้นให้ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
- การเห็นผล : เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที และผลลัพธ์เต็มที่ 1-2 สัปดาห์
- ระยะเวลาคงผลลัพธ์ : อยู่ได้นาน 6-9 เดือน หากฉีดต่อเนื่อง 4 ครั้ง
- ราคา : 14,000-16,000.-/Syringe (2.5 CC)
ป้องกันผิวขาดน้ำอย่างไร ?
การป้องกันผิวขาดน้ำ สามารถเริ่มจากการดูแลตัวเอง ร่วมกับการทำหัตถการในคลินิกความงามครับ เช่น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ช่วยรักษาสมดุลของน้ำ ให้ระบบร่างกายทำงานเป็นปกติ ลดโอกาสผิวขาดน้ำ
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ : ปกป้องผิวจากรังสี UV ที่ทำให้ผิวแห้ง หมองคล้ำ และเสื่อมสภาพ รวมถึงในครีมกันแดดหลาย ๆ ตัวยังมีสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนเกินไป : น้ำที่อุณหภูมิสูงเกินไป ทำให้ผิวแห้ง ควรอาบน้ำอุ่นหรืออุณหภูมิห้อง
- ทาสกินแคร์และมอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ : ใช้เซรัมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เน้นการกักเก็บน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้น เพื่อเติมน้ำให้กับผิวและป้องกันการขาดน้ำ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว : อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน และถั่ว จะช่วยเสริมสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวจากภายใน รวมถึงผักและผลไม้ที่มีปริมาณน้ำสูง เช่น แตงกวา แตงโม และส้ม
- ทำทรีตเมนต์บำรุงผิวเป็นประจำ : การทำหัตถการความงาม เช่น เมโสหน้าใส หรือดริปวิตามินผิว เป็นตัวช่วยเสริมให้ผิวแข็งแรงจากภายใน ช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาผิวขาดน้ำครับ หรือใครที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดคอลลาเจน และต้องการเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ก็จะมีหัตถการกลุ่ม Collagen Biostimulator และเครื่องยกกระชับครับ
สรุปผิวขาดน้ำ ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม
ผิวขาดน้ำเป็นภาวะที่พบได้ในทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะผิวมันหรือผิวแห้ง หากปล่อยไว้นานอาจนำไปสู่ปัญหาสิว ริ้วรอย และผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย การดูแลเบื้องต้นทำได้ด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ ล้างหน้าอย่างถูกวิธี และเลือกใช้สกินแคร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
แต่หากต้องการฟื้นฟูผิวให้เห็นผลชัดเจนและรวดเร็ว การทำหัตถการอย่างฟิลเลอร์สกินบูสเตอร์ เมโสหน้าใส Profhilo หรือ Rejuran ถือเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ผิวกลับมาอิ่มน้ำ แข็งแรง และดูสุขภาพดีขึ้นได้
ที่ V Square Clinic มีแพทย์มากประสบการณ์พร้อมให้คำปรึกษา และเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละคน เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวขาดน้ำอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนครับ


