ฝ้า กระ จุดด่างดำ
ปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ เป็นหนึ่งในปัญหาผิวหน้าที่กวนใจ และลดความมั่นใจให้กับหลายคนครับ สำหรับใครที่กำลังเจอปัญหาเหล่านี้ และกำลังมองหาแนวทางรักษา หรือใครที่ยังแยกไม่ออกว่ารอยด่างดำบนใบหน้าคือ ฝ้า หรือ กระ กันแน่
ในบทความนี้ หมอจะอธิบายข้อแตกต่างกันระหว่างฝ้าและกระ จุดด่างดำ ว่าต่างกันอย่างไร และเกิดมาจากสาเหตุอะไรบ้าง ทำไมมันบางคนถึงได้มีปัญหาขึ้นเยอะ มีวิธีรักษาฝ้าหรือไม่ ป้องกันได้อย่างไรบ้าง ติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ
สารบัญ ฝ้า-กระ
ฝ้า คืออะไร ?
ฝ้า หรือ Melasma เป็นภาวะผิวหน้าที่มีรอยคล้ำสีน้ำตาลหรือสีเทาเกิดขึ้นบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้ม หน้าผาก จมูก ริมฝีปาก และคาง ฝ้ามักปรากฏเป็นแผ่นใหญ่ไม่สม่ำเสมอ มีลักษณะสมมาตรทั้งสองข้างของใบหน้า และไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดหรืออันตรายต่อสุขภาพ
ฝ้า เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในประเทศไทยครับ เนื่องจากเราอยู่ในเขตร้อนที่มีแสงแดดจัด โดยฝ้ามักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ อายุระหว่าง 20-50 ปี สำหรับผู้ชายก็สามารถเป็นฝ้าได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า คิดเป็นประมาณ 10% ของผู้ป่วยฝ้าทั้งหมด
ประเภทของฝ้า
ฝ้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามความลึกของเม็ดสีเมลานินที่สะสม ได้แก่
1.ฝ้าลึก หรือ ฝ้าชั้นผิวหนังชั้นใน (Dermal Melasma) เป็นฝ้าที่เม็ดสีเมลานินสะสมลึกถึงชั้นผิวหนังชั้นใน มีสีน้ำตาลเทาหรือน้ำตาลอมฟ้า การรักษาทำได้ยากกว่าและใช้เวลานาน
2. ฝ้าตื้นหรือ ฝ้าชั้นผิวหนังชั้นนอก (Epidermal Melasma) เป็นฝ้าที่เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ชั้นผิวหนังชั้นนอก มีสีน้ำตาลชัดเจน ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี และสามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าฝ้าชนิดอื่น
3. ฝ้าแบบผสม (Mixed Melasma) เป็นฝ้าที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีเม็ดสีเมลานินสะสมทั้งชั้นผิวหนังชั้นนอกและชั้นใน มีสีน้ำตาลปนเทา การรักษาต้องใช้วิธีผสมผสานหลายแบบ
นอกจากนี้ยังมีฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าชนิดใด พบมากในผู้ที่สีผิวเข้ม เช่น ชาวแอฟริกัน รวมถึงยังมีการแบ่งประเภทฝ้าจากลักษณะการเกิดด้วย เช่น
- ฝ้าแดด เกิดจากรังสียูวีเอและยูวีบีจากแสงแดด รวมถึงแสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และหลอดไฟ
- ฝ้าเลือด เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน และการใช้ฮอร์โมนรูปแบบต่าง ๆ อย่างการรับประทานยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ มีลักษณะผิวแดงง่าย เมื่อโดนความร้อนหรือแสงแดดครับ
สาเหตุการเกิด ฝ้า กระ และจุดด่างดำ
การเกิดฝ้ามีสาเหตุหลายประการที่ส่งผลให้เซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanocyte) ทำงานมากเกินไป จนทำให้เกิดการสะสมของเม็ดสีที่ผิวหน้า สาเหตุสำคัญของการเกิดฝ้า ได้แก่
1. แสงแดดและรังสี UV
แสงแดด ถือเป็นสาเหตุหลักและสำคัญที่สุดของการเกิดฝ้า รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแดด โดยเฉพาะ UVA และ UVB จะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเพื่อปกป้องผิวจากความเสียหายของรังสี ซึ่งในคนที่มีแนวโน้มเป็นฝ้า การสะสมของเม็ดสีนี้จะมากเกินไปและไม่สม่ำเสมอ
นอกจากนี้ แสงสีฟ้าจากหน้าจอ (Blue Light) และ ความร้อน (Infrared) ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้เวลากับหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
2. ฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน) เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฝ้า เช่น
- ฝ้าขณะตั้งครรภ์
- การรับประทานยาคุมกำเนิด
- การใช้ฮอร์โมนทดแทนในหญิงวัยหมดประจำเดือน
- ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์
3. พันธุกรรม
ปัจจัยทางพันธุกรรม มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดฝ้า โดยพบว่าผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นฝ้ามักมีโอกาสเป็นฝ้าสูงกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ คนผิวสีและคนเอเชียมีแนวโน้มเป็นฝ้ามากกว่าคนผิวขาว เนื่องจากมีเซลล์สร้างเม็ดสีที่ทำงานได้ดีกว่า
4. เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และยา
ผลิตภัณฑ์บางชนิด ที่ทำให้ผิวแพ้หรือระคายเคืองอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเป็นฝ้าได้ ได้แก่
- เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมระคายเคือง
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารเคมี
- น้ำหอมที่มีแอลกอฮอล์สูง
- ยาบางชนิด เช่น ยาต้านชัก ยาเคมีบำบัด และยาบางประเภทที่ทำให้ผิวไวต่อแสง
5. ความเครียด
ความเครียดเรื้อรัง ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินและทำให้ฝ้าแย่ลง นอกจากนี้ ความเครียดยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและการซ่อมแซมผิวหนัง
6.อายุที่มากขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น กระจะมีลักษณะนูนและสีเข้มมากขึ้นครับ หรือเรียกว่า “กระเนื้อ” (Seborrheic Keratosis)เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่ผิดรูปแบบไป มักพบตามใบหน้า หน้าอก หลังและไหล่
7.การทำหัตถการที่ผิวหน้า
การทำหัตถการผิวหน้าบางชนิด โดยเฉพาะที่ทำให้ผิวอักเสบ อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ เช่น
- การลอกผิวที่รุนแรงเกินไป
- การขัดผิวแรงเกินไป
- การทำ Waxing บริเวณใบหน้า
ใครเสี่ยงเกิดฝ้ามากที่สุด ?
- ผู้หญิง – พบมากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า
- อายุ 20-50 ปี – โดยเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์
- ผิวสี (Skin type III-V) – คนเอเชีย ชาวละติน ชาวตะวันออกกลาง
- มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้า – มีความเสี่ยงสูงถึง 50%
ฝ้า VS กระ ต่างกันอย่างไร ?
ฝ้าและกระเป็นปัญหาผิวบนที่แตกต่างกันครับ ซึ่งเกิดจากเม็ดสีผิดปกติ นับเป็นปัญหาที่พบบ่อยในคนไทย ซึ่งต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันครับ
ลักษณะฝ้า-กระ
- ฝ้า มีลักษณะเป็นปื้น-แผ่นสีน้ำตาลขนาดใหญ่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ
- กระ จะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานิน
วิธีรักษาฝ้า กระ
แนวทางการรักษาฝ้า กระ จะคล้ายกันครับ แต่ฝ้ายังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถทำให้จางลงได้ครับ โดยเฉพาะฝ้าที่มีสาเหตุจากฮอร์โมน เช่น ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์,ผู้ที่มีการรับประทานยาคุมกำเนิดหรือได้รับการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน
การรักษาฝ้าจำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไปครับ โดยมีวิธีการรักษาดังนี้
- รักษาด้วยยาหรือครีม เป็นการใช้ยารักษาฝ้าในรูปแบบครีมที่มีส่วนผสมที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น ยากรดวิตามินเอ ยากลุ่มทรานิซามิก ครีมทาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ ครีมไวท์เทนนิ่งอื่น ๆ (ก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์ครับ เพราะอาจทำเกิดการระคายเคืองผิวได้)
- การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) ใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออก
- รักษาด้วยเลเซอร์ฝ้า เป็นวิธีการรรักษาฝ้าเร่งด่วน เห็นผลเร็วกว่าการทาครีม และเป็นวิธีได้รับความนิยม เลเซอร์จะเข้าไปทำลายกลุ่มเม็ดสีเมลานินที่ทำงานผิดปกติให้แตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็ก โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียง ช่วยให้ฝ้าดูจางลง และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอเรียบเนียนขึ้น
ปัจจุบันเลเซอร์ฝ้า กระ จุดด่างดำ เป็นวิธีที่ได้การยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูงในการรักษาฝ้าให้จางลงได้ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่อง Pico Laser โดยจะใช้เวลาในการเห็นผลเร็วเมื่อเทียบกับวิธีอื่น คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มรักษาฝ้าอย่างจริงจังครับ
- รักษาฝ้าด้วยสมุนไพร ที่มีฤทธิ์ช่วยผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ เป็นอีกแนวทางในการผลัดเซลล์ผิวหนัง ราคาไม่แพง แต่ก็ไม่อาจหวังผลที่ชัดเจนได้ รวมถึงหากทำบ่อยอาจทำให้ผิวบอบบางและแพ้ง่าย
- ฉีดวิตามินผิว และ การฉีดเมโสหน้าใส ช่วยฟื้นฟูรักษาปัญหาผิว ทั้งผิวคล้ำเสีย ไม่สดใส ผิวแห้งกร้าน โดย การฉีดวิตามินผิว หรือการดริปวิตามิน สามารถลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวขาวใส ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้นให้ผิวได้ครับ
แต่ในกรณีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้า ที่ต้องการการบำรุงเฉพาะเจาะจง การฉีดเมโสฝ้า จะเหมาะสมกว่าครับ โดยการฉีดเมโสหน้าใส มีสูตรหน้าขาวใส ที่มีส่วนผสมของวิตามินต่างๆที่ทำให้หน้าขาว เช่น vitamin ABCE, Transamin, Glutathione สามารถช่วยลดเลือนรอยฝ้าและกระได้ รวมถึงยังช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง เสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวได้ครับ ซึ่งมีหลายยี่ห้อ เช่น
- NEOCLEAR สลายฝ้า กระ จุดด่างดำ
- Alpha arbutin เน้นลดฝ้าโดยตรง
- Tensonez ผิวขาว ใส ลดฝ้า
- Depigment ช่วยลดฝ้า
- Filorga ช่วยผิวขาวใส ลดฝ้า และบำรุงผิวล้ำลึก
ที่ V Square Clinic แพทย์จะตรวจประเมินผิวหน้าคนไข้ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้จะได้สูตรเมโสที่เหมาะกับสภาพผิวคนไข้มากที่สุดครับ
บทความแนะนำ
นอกจากนี้ การรักษาฝ้า ยังสามารถทำได้ด้วยการทำJuvelook โดย สามารถช่วยลดฝ้าได้ เนื่องจากเป็น Collagen Booster ที่มีส่วนผสมของ PDLLA และ HA ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ปรับสีผิวให้กระจ่างใสสม่ำเสมอ และลดเลือนรอยดำจากฝ้า อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลครับ
วิธีป้องกันฝ้า กระ
- หลีกเลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะแดดช่วง10.00-16.00 น. ก่อนออกแดดทุกครั้งควรใช้ร่มที่ป้องกันรังสียูวี สวมหมวก ใช้ผ้าคลุม
- การทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิว โดยเลือกที่มี SPF30+ ขึ้นไป เพื่อป้องกันยูวีเอ และมีค่าป้องกัน PA2+ ขึ้นไป เพื่อป้องกันยูวีเอ โดยควรทาครีมกันแดดก่อนที่จะออกแดด 30 นาที
- ใส่ใจดูแลผิวหน้า อาจดูแลด้วยครีมบำรุง หรือการเติมวิตามินผิว ให้แข็งแรงด้วยเมโสหน้าใส (Mesotheraphy) คือ ทรีตเมนต์บำรุงผิว ซึ่งเป็นทางลัดในการนำส่วนผสมที่มีอยู่ในครีมต่าง ๆ
โดยเฉพาะตัวที่ดูดซึมจากการทาได้ยาก มาทำให้สามารถฉีดเข้าในชั้นผิวได้โดยตรง และออกฤทธิ์ไวขึ้น ช่วยเพิ่มคอลลาเจนในชั้นผิวเพื่อให้ผิวเต่งตึงได้ครับ
- หลีกเลี่ยงยา ฮอร์โมนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดฝ้า หรือยาเพิ่มฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น ยาคุมกำเนิด อาจจะต้องเปลี่ยนการคุมกำเนิดโดยต้องปรึกษาแพทย์ก่อน
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน รวมถึงหลีกเลี่ยงความเครียด ขับถ่ายให้เป็นเวลา เพราะมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้ไม่ค่อยดี ส่งผลให้เมลานินทำงานผิดปกติ เกิดรอยฝ้า กระได้ชัดมากยิ่งขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
7.เลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจมีสารที่ทำให้เกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะครีมหน้าขาว ที่โฆษณาเห็นผลเร็ว เห็นผลไว มักเต็มไปด้วยสารปรอทครับ และสารเคมีเหล่านี้จะทำร้ายผิว และเป็นต้นเหตุทำให้เกิดฝ้าได้ด้วย
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฝ้า กระ จุดด่างดำ
วิธีรักษาฝ้าที่ดีที่สุดคืออะไร ?
วิธีรักษาฝ้าที่ดีที่สุดต้องขึ้นอยู่กับประเภท และความรุนแรงของปัญหาฝ้า ครับ ซึ่งมักจะต้องใช้วิธีการรักษาหลายอย่างร่วมกัน โดยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและเห็นผลเร็ว ได้แก่ การทำเลเซอร์ เช่น Pico Laser เพื่อทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติ
นอกจากนี้การใช้ยาทาภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดการสร้างเม็ดสี ร่วมกับการดริปวิตามิน การฉีดเมโสลดฝ้า ก็สามารถช่วยได้มากครับ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การป้องกันตัวเองจากแสงแดด อย่างเคร่งครัดด้วยการทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน
คนเป็นฝ้าขาดวิตามินอะไร ?
เนื่องจากฝ้าเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การขาดวิตามินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย เช่น หากว่าร่างกายของเราขาดวิตามินในกลุ่มของ วิตามินบี 6, วิตามินบี 12, วิตามินซี, กลูตาไธโอน, ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3) รวมถึงวิตามินเอ ซึ่งวิตามินเหล่านี้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินและต้านอนุมูลอิสระ หากร่างกายขาด ก็จะทำให้ร่างกายเกิดการทำงานในการป้องกันเรื่องของฝ้า กระ จุดด่างดำ ได้น้อยลง ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ฝ้าได้ง่ายครับ
ฝ้าเกิดบริเวณใดได้บ้าง ?
ฝ้าสามารถเกิดได้บริเวณใบหน้าและลำตัว โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อยที่สุด เช่น
- แก้ม/โหนกแก้ม : บริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง (พบบ่อยที่สุด)
- หน้าผาก : บริเวณกลางหน้าผากแผ่กว้าง
- จมูก : สันจมูกและปีกจมูก
- ริมฝีปากบน : บริเวณใต้จมูกเหนือริมฝีปาก
- ขมับ : ด้านข้างของหน้าผาก
การใช้เครื่องสำอางมีผลต่อการเกิดฝ้าหรือไม่ ?
เครื่องสำอางไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของฝ้า แต่อาจมีผลทางอ้อม หากใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ผิวแพ้หรือระคายเคือง เมื่อผิวอักเสบ อาจกระตุ้นการสร้างเม็ดสีมากขึ้น
ฝ้าสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่ หลังจากรักษาจนจางลงแล้ว ?
ฝ้ามีโอกาสกลับมาได้ครับ ถ้าไม่ดูแลป้องกันอย่างเหมาะสม แม้รักษาจนหายแล้ว ยังต้องบำรุงและป้องกันต่อไปครับ
สรุปปัญหาฝ้า กระ ป้องกันและรักษาได้
สำหรับใครที่กำลังกังวลใจหน้าเป็นฝ้า มีกระ บนผิวหน้า หรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากเกิดแล้ว หมอแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์หรือคลินิกรักษาฝ้าครับ ว่าความรุนแรงอยู่ในระดับใด และแก้ไขด้วยวิธีไหนถึงเหมาะสม ข้อสำคัญต้องหมั่นดูแลตัวเอง ปกป้องใบหน้า ผิวจากแสงแดด ใส่ใจและบำรุงผิวอยู่เสมอครับ


