Oligio vs Ultraformer
Oligio vs Ultraformer เลือกทำเครื่องไหนดี ถึงจะตอบโจทย์ปัญหาผิว ? ใครที่กำลังมองหาวิธียกกระชับผิว ลดริ้วรอย และปรับรูปหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด อาจลังเลระหว่างสองเทคโนโลยีนี้ เพราะทั้ง Oligio และ Ultraformer ต่างก็มีจุดเด่นและหลักการทำงานที่น่าสนใจ
ในบทความนี้จะหมอพาไปทำความเข้าใจข้อแตกต่างระหว่าง Oligio vs Ultraformer ข้อดีข้อเสียที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ และแนวทางเลือกเครื่องให้เหมาะกับตัวเอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและคุ้มค่ากับการลงทุน
สารบัญ Oligio vs Ultraformer
Oligio vs Ultraformer คืออะไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ?
การยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดได้รับความนิยมมากในยุคปัจจุบัน และเทคโนโลยีที่โดดเด่น 2 ชนิดที่ถูกพูดถึงบ่อย ได้แก่ Oligio และ Ultraformer ซึ่งทั้งสองมีหลักการทำงานที่ต่างกัน แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ “ยกกระชับผิว ลดริ้วรอย คืนความอ่อนเยาว์” เรามาทำความรู้จักกับทั้งสองเครื่องนี้กันครับ
Oligio เทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยคลื่น RF
Oligio คือเทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุชนิด Monopolar RF ความถี่ 6.78 MHz ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว สามารถลงลึกได้ทั้งในชั้นผิวหนังแท้และ ชั้นไขมันได้อย่างแม่นยำ ทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ทำลายผิวชั้นบน
เครื่อง Oligio ทำงานผ่าน 3 ขั้นตอนหลักที่ช่วยยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ
- ส่งพลังงาน RF ลงลึกถึงชั้นผิว : หัวเครื่องจะปล่อยพลังงาน Monopolar Capacitive Radio Frequency ความร้อนประมาณ 40-45°C ลงสู่ชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว
- กระตุ้นคอลลาเจนและสลายไขมันใต้ผิว : ความร้อนจากพลังงาน RF ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ (Neocollagenesis) พร้อมช่วยสลายไขมันส่วนเกินใต้ผิว
- จัดเรียงคอลลาเจนใหม่ : เมื่อคอลลาเจนเดิมหดตัวลง ร่างกายจะฟื้นฟูและจัดเรียงเส้นใยคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แน่นขึ้น กระชับและตึงอย่างเป็นธรรมชาติ
ระหว่างการทำ Oligio เครื่องจะควบคุมอุณหภูมิผิวชั้นบนให้อยู่ที่ 5°C ด้วยระบบ Cooling อีกทั้งยังมีเซนเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิผิวแบบเรียลไทม์ ช่วยป้องกันผิวไหม้เบิร์น พร้อมระบบสั่นที่ช่วยกระจายความร้อน ลดความรู้สึกเจ็บ และเพิ่มความสบายผิวขณะทำครับ
Ultraformer นวัตกรรมยกกระชับลึกถึงชั้น SMAS
Ultraformer III คือเทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงแบบเฉพาะจุด หรือที่รู้จักกันในชื่อ HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ส่งพลังงานความร้อนลงลึกอย่างแม่นยำไปยังชั้นผิวต่าง ๆ รวมถึงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า เพื่อกระตุ้นการหดตัวของชั้นผิวและสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยยกกระชับผิวหน้าและผิวกายโดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น
เครื่อง Ultraformer III ทำงานโดยปล่อยพลังงานความร้อนคงที่ 60-70°C ลงลึกสู่ชั้นผิว จุดโฟกัสพลังงานขนาดเล็ก 0.5-1 มม. ลักษณะเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ ในการยิงพลังงาน หมอจะยิงเป็นเส้น เพื่อยกกระชับผิวตามแนวที่ต้องการ เมื่อผิวชั้นนั้นโดนความร้อนจะเกิดการหดตัวทันที และกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวแน่น ตึง และยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถปรับระดับความลึก เพื่อยกกระชับผิว แก้ปัญหาในแต่ละชั้นผิวได้ตรงจุด
ข้อควรรู้ : Ultraformer ไม่ได้มีแค่รุ่น III เท่านั้น แต่ยังมีรุ่นที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่าง Ultraformer MPT (Micro Pulsed Technology) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดในซีรีส์ Ultraformer โดยต่อยอดจาก Ultraformer III เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับ และให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและอ่อนโยนยิ่งขึ้นครับ
เปรียบเทียบ Oligio vs Ultraformer ต่างกันอย่างไร ?
แม้ว่า Oligio กับ Ultraformer จะมีจุดประสงค์เดียวกันคือยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อย และกระตุ้นคอลลาเจน แต่ทั้งสองเทคโนโลยีก็มีคุณสมบัติ หลักการทำงาน และความเหมาะสมในการแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน หมอสรุปให้ดังนี้ครับ
ผู้ผลิตและมาตรฐานรองรับ
- Oligio : พัฒนาโดยบริษัท WONTECH จากประเทศเกาหลีใต้ ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก FDA ไทย อเมริกา เกาหลี และ CE ในยุโรป
- Ultraformer : ผลิตโดยบริษัท CLASSYS จากประเทศเกาหลีใต้ ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก FDA อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย
รูปแบบพลังงาน
- Oligio : ใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบ Monopolar RF ความถี่ 6.78 MHz พลังงานสามารถลงลึกครอบคลุมทั้งชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิว
- Ultraformer : ใช้เทคโนโลยี HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ยิงพลังงานเป็นจุดลึกแบบเฉพาะเจาะจง สามารถลงลึกครอบคลุมตั้งแต่ชั้นผิวตื้นไปจนถึงชั้นไขมัน และชั้น SMAS
หัวยิงพลังงาน
- Oligio : หัว Tip มี 2 แบบ Face Tip และ Eye Tip
- Ultraformer : หัว Tip มีความลึก 3 ระดับ คือ 1.5 mm, 3.0 mm และ 4.5 mm นอกจากนี้ยังมีหัวยิงพิเศษเฉพาะ Ultraformer III หัวยิง Cherry Pink ความลึก 2.0 mm รูปทรงให้เล็ก เรียว บาง ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
ตำแหน่งการทำ
- Oligio : รอบดวงตา หน้าผาก กรอบหน้า ขากรรไกร แก้ม เหนียง ลำคอ ต้นแขน หน้าท้อง สะโพก ต้นขา
- Ultraformer : รอบดวงตา ใต้ตา ร่องแก้ม มุมปาก กรอบหน้า คิ้ว หางตา คาง ลำคอ รวมถึง ต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง
ปัญหาที่เหมาะสม
- Oligio : เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนเล็กน้อยถึงปานกลาง รูขุมขนกว้าง และมีไขมันใต้ผิวที่อยากให้กระชับ
- Ultraformer : เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้คมชัด แก้ริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก
ระยะเวลาการทำ และความรู้สึกระหว่างทำ
- Oligio : ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ขณะทำจะรู้สึกอุ่น ๆ ใต้ผิว
- Ultraformer : ใช้ระยะเวลาประมาณ 30-50 นาที ขณะทำจะมีความรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ หรือรู้สึกอุ่น ๆ บริเวณใต้ผิว
ระยะเวลาเห็นผล
- Oligio : หลังทำเห็นผลทันที 20% ชัดเจนใน 3-6 เดือน
- Ultraformer : หลังทำเห็นผลทันที 20% ชัดเจนใน 2-3 เดือน
ระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์ และความถี่ในการทำ
- Oligio : อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน แนะให้ทำ 2 ครั้ง/ปี
- Ultraformer : อยู่ได้ประมาณ 5-6 เดือน และอาจอยู่ได้นานถึง 1 ปี แนะนำให้ทำซ้ำทุก ๆ 6 เดือน
ค่าใช้จ่าย
- Oligio : ราคาเริ่มต้นประมาณ 15,xxx.- / ขึ้นไป
- Ultraformer : ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3,xxx.-/100 Line
สรุปแล้ว Oligio และ Ultraformer ต่างมีจุดเด่นในแบบของตัวเอง โดย Oligio เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวพร้อมสลายไขมัน ส่วน Ultraformer เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้าให้ชัด และแก้ผิวหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจนลงลึกถึงชั้น SMAS การเลือกใช้จึงควรพิจารณาจากปัญหาผิว ความต้องการผลลัพธ์ และคำแนะนำของแพทย์เป็นหลักครับ
ข้อดี-ข้อเสียของ Oligio vs Ultraformer
ทั้ง Oligio และ Ultraformer มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ ดังนี้
ข้อดีของ Oligio
- ลงลึกครอบคลุมทุกชั้นผิว และชั้นไขมัน
- มีระบบความเย็น Cooling System ช่วยลดความเจ็บขณะทำ
- ใช้เวลาในการทำหัตถการไม่นาน ประมาณ 20-30 นาที/ครั้ง
- ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที
- ปลอดภัย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว สามารถทำควบคู่กับหัตถการอื่นได้
ข้อดีของ Ultraformer
- ลงลึกได้ตั้งแต่ชั้นหนังแท้ที่อยู่บนสุด ชั้นไขมัน และชั้น SMAS
- มีหัวยิงหลายระดับให้แพทย์เลือกใช้ แก้ปัญหาได้ในทุกชั้นผิว
- ไม่เป็นอันตรายต่อสายตา ช่วยเน้นที่บริเวณใต้ตาและรอบดวงตาได้โดยตรง
- ไม่มีแผล ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที
- ทำได้บ่อยครั้งและหลังการทำ Hifu ยังสามารถทำหัตถการอย่างอื่นอีกได้
ข้อควรระวัง ของทั้ง Oligio และ Ultraformer คือ หากทำโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์เพียงพอ หรือใช้เครื่องที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น เครื่องปลอม เครื่องลอกเลียนแบบ เกรดต่ำ อาจส่งผลให้พลังงานที่ปล่อยออกมาไม่สม่ำเสมอ เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ (Burn), รอยดำ หรือรอยแผลเป็น ได้ครับ
Oligio กับ Ultraformer ทำร่วมกันได้ไหม ?
Oligio กับ Ultraformer สามารถทำร่วมกันได้ครับ เพราะทั้งสองเครื่องทำงานในชั้นผิวที่ต่างกัน โดย Ultraformer จะเน้นยกกระชับลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นโครงสร้างลึกใต้ผิว ส่วน Oligio จะช่วยกระตุ้น Collagen ในชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมัน ทำให้ผิวแน่น เรียบเนียนขึ้น การทำร่วมกันจึงช่วยให้ผลลัพธ์ชัดเจนทั้งในเรื่องการยกกระชับและผิวละเอียด ดูสุขภาพดีขึ้น
ทั้งนี้ควรเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม โดยให้แพทย์เป็นผู้ประเมินและวางแผนลำดับการทำหัตถการให้เหมาะกับสภาพผิวครับ
Oligio กับ Ultraformer ทำร่วมกับหัตถการไหนได้บ้าง ?
นอกจากเครื่องยกกระชับยอดนิยมอย่าง Oligio และ Ultraformer ที่ใช้เทคโนโลยีต่างกันในการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ปัจจุบันยังมีหัตถการอื่น ๆ ที่ช่วยปรับรูปหน้า ยกกระชับ และกระตุ้นคอลลาเจนได้เช่นกัน
โดยแต่ละวิธีมีจุดเด่นและข้อดีที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและการประเมินของแพทย์
หมอรวมหัตถการทางเลือกในการยกกระชับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน เหมือนกับ Oligio และ Ultraformer หมอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
กลุ่มเครื่องยกกระชับ
- Ultraformer MPT : เครื่องยกกระชับเทคโนโลยีคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง (HIFU) ที่พัฒนาให้ครอบคลุมทั้งการยกกระชับผิว สลายไขมัน และปรับผิวให้เรียบเนียนมากขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์หลายอย่างในเครื่องเดียว
- Ulthera : เครื่องยกกระชับด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ลงลึกถึงชั้น SMAS เช่นเดียวกับ HIFU แต่มีจุดพลังงานใหญ่กว่าและอยู่ได้นานกว่า จุดเด่นคือมีหน้าจอแสดงชั้นผิวแบบ Real-time ทำให้แพทย์ยิงพลังงานได้แม่นยำตามโครงสร้างผิวแต่ละคน
- Thermage : เครื่องยกกระชับด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) เน้นกระชับผิวทั้งชั้นตื้นและลึก เหมาะกับคนที่ผิวเริ่มหย่อนคล้อยและต้องการให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
หัตถการเสริมเพื่อผลลัพธ์ยกกระชับ
- โบท็อกลิฟหน้า : ฉีดโบท็อกเพื่อลดแรงดึงของกล้ามเนื้อที่ทำให้ใบหน้าหย่อนลง ทำให้กรอบหน้าดูชัด และเพิ่มมิติให้ใบหน้า
- ฟิลเลอร์ยกหน้า : ฉีด Hyaluronic Acid (HA) เติมเต็มร่องลึกและยกพยุงผิว เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม และขมับ เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และกระชับขึ้นทันทีหลังทำ
- ร้อยไหมยกกระชับ : ใช้ไหมละลายมีเงี่ยงสอดลงในชั้นผิวเพื่อเกี่ยวและดึงผิวขึ้น เห็นผลยกทันที พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลไว
- Collagen Biostimulator : ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนลึกถึงชั้นโครงสร้างผิว ฟื้นฟูความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิว ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึง ยกตัวอย่างยี่ห้อที่นิยม เช่น Gouri, Sculptra และ Radiesse ฉีดแล้วผิวอิ่มฟู หน้าดูเด็กลง
หัตถการเหล่านี้สามารถทำร่วมกับ Oligio หรือ Ultraformer ได้ในบางกรณี ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วางแผนการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวและเป้าหมายของแต่ละบุคคลครับ
สรุป Oligio vs Ultraformer เลือกทำเครื่องไหนดี ?
Oligio vs Ultraformer ทั้งสองเป็นเทคโนโลยียกกระชับที่มีจุดเด่นต่างกัน โดย Oligio เหมาะกับการกระชับผิวชั้นตื้นและกระตุ้นคอลลาเจน ส่วน Ultraformer เน้นยกกระชับลึกถึงชั้น SMAS ช่วยปรับโครงหน้าให้ชัดขึ้น การเลือกเครื่องที่เหมาะสมควรดูจากปัญหาผิว ความต้องการ งบประมาณ และคำแนะนำของแพทย์ครับ
หากเลือกไม่ได้ว่าทำเครื่องไหนดี สามารถเข้ามาปรึกษาหมอ ที่ V Square Clinic ก่อนได้ ทีมแพทย์มีประสบการณ์สูง สามารถประเมินและวิเคราะห์ปัญหาผิว เลือกหัตถการที่เหมาะสมกับแต่ละคน มั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัย
อ้างอิง


