ปากลอก
“ปากลอก” อาจดูเหมือนปัญหาเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับหลายคนกลับส่งผลต่อความมั่นใจไม่น้อยเลยครับ โดยเฉพาะเวลายิ้ม พูดคุย หรือเมื่อต้องแต่งหน้า ทาลิปสติกแล้วสีไม่สม่ำเสมอ ตกร่อง หรือเกาะเป็นขุย ทำให้ปากดูหมองและไม่เรียบเนียน
ในบทความนี้หมอจะมาเจาะลึกถึงสาเหตุ ปากลอกเกิดจากอะไร ? แนะนำวิธีดูแลรักษา รวมถึงการแก้ไขอย่างเห็นผล เพื่อให้ริมฝีปากกลับมาชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี และมั่นใจได้อีกครั้ง
สารบัญ ปากลอก
อาการปากลอก เป็นอย่างไร ?
อาการของปากลอก อาจเริ่มจากความแห้งเล็กน้อย ไปจนถึงขั้นอักเสบหรือมีแผล แบ่งตามความรุนแรงได้ดังนี้
- ปากลอกระดับเล็กน้อย : ผิวริมฝีปากแห้ง เป็นขุยเล็ก ๆ รู้สึกตึงเวลายิ้มหรือพูด
- ปากลอกระดับปานกลาง : ปากลอกเป็นแผ่น มีร่องแตกเล็ก ๆ แสบเมื่อสัมผัสอาหารรสจัดหรือเครื่องดื่มร้อน
- ปากลอกระดับรุนแรง : ปากแตกเป็นร่องลึก มีเลือดซิบ ปวดแสบปวดร้อน อาจมีบวมแดงร่วมด้วย
ปากลอก เกิดจากอะไร ?
อาการปากลอกหรือปากแห้งแตกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หมอสรุป 10 ปัจจัยหลัก ที่มักเป็นต้นตอของปัญหาริมฝีปากลอกไว้ดังนี้ครับ
สภาพอากาศหนาว เย็น หรือแห้ง
บริเวณริมฝีปากเป็นผิวที่บอบบาง ไม่มีต่อมไขมันคอยเคลือบผิว จึงสูญเสียน้ำได้ง่าย โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวหรือเมื่ออยู่ในห้องแอร์นาน ๆ ความชื้นในอากาศที่ลดลงจะเร่งให้ความชุ่มชื้นบริเวณริมฝีปากระเหยออกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ริมฝีปากแห้ง แตก และลอกเป็นขุย
พฤติกรรมเลียริมฝีปากบ่อย ๆ
การเลียริมฝีปากบ่อย ๆ เป็นพฤติกรรมที่หลายคนเข้าใจผิดว่าช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว น้ำลายระเหยกลับทำให้ปากยิ่งแห้งกว่าเดิมครับ อีกทั้งการกัดหรือแกะขุยริมฝีปากจนเป็นแผล ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ริมฝีปากอ่อนแอและเกิดอาการปากลอกได้ง่ายขึ้น
ภาวะขาดน้ำ
เมื่อร่างกายขาดน้ำหรือได้รับน้ำไม่เพียงพอ ความชุ่มชื้นจากภายในจะลดลง ส่งผลให้ริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้นตามไปด้วย จึงเกิดอาการปากแห้ง แตก และลอกได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่ดื่มน้ำน้อย หรือสูญเสียน้ำจากเหงื่อในปริมาณมาก
อายุและโครงสร้างริมฝีปาก
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โครงสร้างริมฝีปากจะบางลงตามธรรมชาติ พร้อมกับปริมาณ Collagen และความยืดหยุ่นที่ลดลง ทำให้ผิวบริเวณริมฝีปากสูญเสียน้ำได้ง่าย จึงเกิดอาการแห้งและลอกได้บ่อย นอกจากนี้ ผู้ที่มีริมฝีปากบางโดยกำเนิด ก็มีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาปากลอกมากกว่าคนปากหนา เนื่องจากมีพื้นที่ชุ่มชื้นบนผิวปากน้อยกว่า
ผลิตภัณฑ์และสารก่อการระคายเคือง
ผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ลิปสติก ลิปบาล์ม ยาสีฟัน หรือน้ำยาบ้วนปาก ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เมนทอล หรือแอลกอฮอล์ สามารถทำให้ริมฝีปากระคายเคืองและเกิดปากลอก
นอกจากนี้ การใช้สครับริมฝีปากที่เนื้อหยาบเกินไป หรือใช้บ่อยเกินความจำเป็น อาจสร้างความเสียหายต่อผิวบริเวณริมฝีปาก จนทำให้เกิดการลอก แสบ หรือเจ็บได้เช่นกัน
การหายใจทางปากขณะนอนหลับ
ผู้ที่หายใจทางปากหรือกรนในขณะหลับ จะมีลมผ่านริมฝีปากตลอดเวลา ความชื้นจึงระเหยออกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ริมฝีปากแห้ง แตก และลอกเป็นขุยได้มากกว่าคนทั่วไป หากตื่นนอนแล้วรู้สึกปากแห้งหรือเจ็บบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณที่ควรแก้ไขพฤติกรรมการหายใจครับ
ภาวะขาดวิตามินและสารอาหาร
ภาวะโภชนาการที่ไม่สมดุล โดยเฉพาะการขาดวิตามินบี วิตามินซี ธาตุเหล็ก และสังกะสี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง หากได้รับไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวริมฝีปากอ่อนแอ สูญเสียความชุ่มชื้นง่าย และเสี่ยงต่อการปากลอกมากขึ้น
ปากลอก ขาดวิตามินอะไร ? รวมสารอาหารที่ขาดแล้วเสี่ยง “ปากลอก”
- วิตามิน B2 (ไรโบฟลาวิน) ช่วยบำรุงผิวและเนื้อเยื่อในร่างกาย รวมถึงริมฝีปาก
- วิตามิน B3 (ไนอะซิน) มีบทบาทในการซ่อมแซมผิวหนังและระบบประสาท
- วิตามิน B6 (ไพริดอกซีน) ช่วยลดการอักเสบของผิวและริมฝีปาก
- วิตามิน B12 จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ผิวและเม็ดเลือดแดง
- วิตามิน C ช่วยในการสร้างคอลลาเจน และรักษาความยืดหยุ่นของผิว
- ธาตุเหล็ก (Iron) ช่วยลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ผิว
- สังกะสี (Zinc) มีบทบาทในการสมานแผล และฟื้นฟูสภาพผิว
ขาดการปกป้องริมฝีปากจากแสงแดด
ริมฝีปากเป็นผิวที่บอบบางและไม่มีเมลานินเพียงพอในการป้องกันรังสี UV หากไม่ได้ใช้ลิปบาล์มหรือผลิตภัณฑ์ที่มี SPF ปกป้องแสงแดด อาจเกิดอาการแห้ง ไหม้ หรือปากลอกได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่กลางแดดเป็นประจำ และหากละเลยในระยะยาว อาจนำไปสู่ปัญหาปากคล้ำหรือโรคผิวหนังได้ครับ
ร่างกายผลิตน้ำลายน้อย
ผู้ที่มีภาวะน้ำลายน้อย มักพบอาการปากแห้งและปากลอกได้ง่าย เนื่องจากน้ำลายเป็นแหล่งความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ เมื่อร่างกายผลิตน้ำลายลดลงจากอายุที่มากขึ้น หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยารักษาสิว หรือยาเคมีบำบัด จะทำให้ริมฝีปากสูญเสียสมดุลความชุ่มชื้นและแห้งแตก
โรคประจำตัวและผลข้างเคียงจากยา
โรคบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน สามารถทำให้ริมฝีปากอักเสบและลอกได้ รวมถึงยาหลายประเภท เช่น ยาลดสิวบางชนิด ยาแก้แพ้ หรือยาที่มีผลต่อการลดความชื้นในร่างกาย ก็อาจทำให้เกิดปากลอกเป็นผลข้างเคียงได้
ข้อควรรู้ : บางกรณีอาการ ปากลอก อาจมาจากโรคผิวหนัง เช่น ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนัง นอกจากนี้ การติดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะบริเวณมุมปาก ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง ลอก และเจ็บเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาอาจลุกลามและติดเชื้อซ้ำ ๆ ได้ครับ
วิธีดูแลตัวเอง ป้องกันไม่ให้ปากลอก
อาการปากลอก ส่วนใหญ่สามารถดูแลและบรรเทาได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม หากเริ่มรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ริมฝีปากกลับมาชุ่มชื้น สุขภาพดี และลดโอกาสเกิดซ้ำได้ โดยวิธีรักษาปากลอกที่ควรทำ มีดังนี้
ใช้ลิปบาล์มหรือผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้น
การทาลิปบาล์มหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์สำหรับริมฝีปาก เป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยฟื้นฟูอาการปากลอกได้ดีที่สุด ควรเลือกสูตรที่มีส่วนผสมของเชียบัตเตอร์, ไฮยาลูรอน หรือเซราไมด์ เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวริมฝีปาก หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ริมฝีปากระคายเคืองและลอกมากกว่าเดิม
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ช่วยให้ร่างกายรักษาสมดุลความชุ่มชื้นจากภายใน ลดความเสี่ยงที่ริมฝีปากจะแห้ง แตก และลอกได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่ออกกำลังกายหนัก เหงื่อออกมาก หรืออยู่ในสภาพอากาศร้อน การชดเชยน้ำอย่างเหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการปากลอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
งดเลียหรือแกะขุยริมฝีปาก
พฤติกรรมการเลียริมฝีปากหรือแกะขุยอาจทำให้รู้สึกดีชั่วคราวครับ แต่ในระยะยาวจะทำให้ผิวริมฝีปากยิ่งแห้งและลอกมากขึ้น อีกทั้งยังเสี่ยงเกิดแผลแตกและติดเชื้อได้ง่าย ควรเปลี่ยนมาดูแลด้วยการทาลิปบาล์มแทน เพื่อลดการระคายเคืองและเร่งการฟื้นฟูผิวริมฝีปากอย่างถูกวิธี
สครับริมฝีปากอย่างอ่อนโยน
การสครับริมฝีปากช่วยผลัดเซลล์ผิวที่แห้งลอกออก ทำให้ริมฝีปากเรียบเนียนและพร้อมรับการบำรุงมากขึ้น ควรเลือกสครับที่มีเนื้อละเอียดและทำไม่เกินสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หลังสครับควรทาลิปบาล์มทันทีเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น หากมีอาการปากแตกหรือมีเลือดออก ควรงดการสครับจนกว่าจะหายสนิทครับ
ปรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
หากพบว่าอาการปากลอก เกิดจากการแพ้หรือระคายเคือง ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัย เช่น ลิปสติก ลิปบาล์ม หรือยาสีฟันที่มีสารก่อการระคายเคือง แล้วเปลี่ยนมาใช้สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและสารเคมีแรง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการลอกซ้ำ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หากสาเหตุของอาการปากลอก มาจากการขาดวิตามินหรือแร่ธาตุ ควรปรับอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้สด หรือเสริมวิตามินตามคำแนะนำของแพทย์ วิธีนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาจากต้นเหตุและทำให้ริมฝีปากกลับมามีสุขภาพดีขึ้น
พบแพทย์เมื่ออาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น
หากอาการปากลอก ไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ แม้จะดูแลตัวเองแล้ว หรือมีอาการบวมแดง เจ็บ แสบ มีหนอง ควรเข้าพบแพทย์ผิวหนังเพื่อประเมินสาเหตุอย่างละเอียด อาจต้องใช้ยารักษาการติดเชื้อ ยาแก้อักเสบ หรือหัตถการเสริม เช่น การฉีดฟิลเลอร์เพิ่มความชุ่มชื้นสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบาง ซึ่งต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อความปลอดภัยครับ
แก้ไขปากลอกด้วยฟิลเลอร์
สำหรับผู้ที่มีปากบาง ขาดความอวบอิ่ม หรือมีแนวโน้มปากแห้งแตกง่าย แม้จะบำรุงเป็นประจำแล้วก็ยังมีอาการปากลอกเรื้อรัง การฉีดฟิลเลอร์ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูผิวและโครงสร้างริมฝีปากได้อย่างตรงจุดครับ
คลิกอ่านเพิ่มเติม : รวมข้อที่ควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก มีความเสี่ยงอะไรบ้าง
การฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่ได้มีแค่จุดประสงค์เพื่อเพิ่มความอวบอิ่มเท่านั้น แต่ยังช่วยเติมความชุ่มชื้น ด้วย Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติกักเก็บน้ำสูง เมื่อฉีดเข้าสู่เนื้อริมฝีปาก จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ริมฝีปากเนียนนุ่ม ลดการลอกเป็นขุย และดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
สำหรับผู้ที่มีปัญหาปากแห้งแตกเป็นขุยหรือปากลอกเรื้อรัง ต้องการแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่ V Square Clinic ทีมแพทย์มีประสบการณ์ด้านการปรับรูปปากและแก้ไขปัญหาผิวริมฝีปากโดยเฉพาะ ออกแบบทรงปากอย่างพิถีพิถันตามรูปหน้าและปัญหาของแต่ละบุคคล ฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้ ใช้เทคนิคพิเศษ ช่วยให้ปากดูชุ่มชื้น สุขภาพดี ลดอาการปากลอกอย่างตรงจุดและปลอดภัยครับ
รีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก เพิ่มความชุ่มชื้น แก้ปากลอก
รีวิวผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ปาก ก่อน-หลังทำทันที จะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดชัดเจนครับ
ตัวอย่างเคสรีวิวฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่ V Square Clinic
*ผลจากการเข้ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย
*ผลจากการเข้ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย
*ผลจากการเข้ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการปากลอก
ปากลอกบ่อย ๆ อันตรายไหม ?
โดยทั่วไปอาการปากลอกไม่ถือว่าอันตรายครับ แต่สามารถส่งผลต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพได้ เช่น ทำให้ไม่กล้ายิ้ม พูดคุย หรือแม้แต่รับประทานอาหารก็อาจรู้สึกแสบและเจ็บ หากเกิดบ่อยหรือเป็นเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม ควรสังเกตอาการ หากมีแผลแตก มุมปากอักเสบบ่อย หรือเจ็บร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
ปากลอก เป็นสัญญาณของโรคอะไรได้บ้าง ?
อาการปากลอกอาจดูเหมือนเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่ในบางกรณีอาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะต่าง ๆ เช่น
- ภาวะขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี วิตามินซี ธาตุเหล็ก และสังกะสี
- โรคภูมิแพ้ เช่น แพ้อาหาร ยา หรือผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก
- โรคผิวหนังอักเสบ เช่น ผื่นแพ้สัมผัส หรือผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
- ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ เช่น ในผู้หญิงวัยทอง หรือผู้ที่มีโรคต่อมไร้ท่อ
- ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
ใช้ลิปมันตลอดแต่ยังปากลอก ควรทำอย่างไร ?
หากทาลิปมันเป็นประจำแต่ริมฝีปากยังลอก อาจเกิดจากการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมระคายเคือง เช่น น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งยิ่งทำให้ปากแห้งกว่าเดิมครับ ควรเปลี่ยนมาใช้ลิปบาล์มสูตรอ่อนโยนที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้น ควบคู่กับการดื่มน้ำให้เพียงพอ และงดพฤติกรรมเลียริมฝีปากหรือแกะขุย
สรุปเรื่องปากลอก
ปากลอก ไม่ได้เกิดจากแค่สภาพอากาศหรือพฤติกรรมเท่านั้น แต่อาจเกิดจากการขาดความชุ่มชื้นลึกถึงผิวชั้นใน หากลองดูแลหลายวิธีแล้วยังไม่ดีขึ้น หมอแนะนำการฉีดฟิลเลอร์ปาก ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเติมน้ำให้ผิวจากภายใน ริมฝีปากจะดูอิ่มฟู เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


