ปัญหาหลังร้อยไหม

ปัญหาหลังร้อยไหม ที่หลายคนกังวลไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บ บวม ไหมขาด เกิดจากอะไร ? อันตรายหรือไม่ ? มีวิธีดูแลและป้องกันอย่างไร ? หมอมีคำตอบให้ในบทความนี้ครับ
สารบัญ ปัญหาหลังร้อยไหม
ปัญหาหลังร้อยไหมมีอะไรบ้าง อันตรายหรือไม่ เกิดจากสาเหตุอะไร ?
ปัญหาหลังร้อยไหม สามารถเกิดขึ้นได้ครับ เนื่องจากเป็นหัตถการที่ทำให้เกิดการเสียเลือด และเกิดแผล แม้จะเป็นแผลเล็ก ๆ หากดูแลรักษาไม่เหมาะสม หรือแพทย์ไม่ชำนาญ ก็อาจเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นได้
1.ร้อยไหมแล้วหน้าบวม
ปกติหลังร้อยไหม ในช่วง 3-4 วันแรก หน้าจะบวมมากขึ้น แล้วจะเริ่มยุบลงเองจนเข้าที่ใน 14 วัน เป็นอาการปกติ ไม่มีอันตรายครับ แต่ถ้าหลังจาก 4 วัน แล้วยังบวมแดงมากขึ้น ปวดมากขึ้น ต้องรีบกลับมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติมต่อไป
สาเหตุที่ร้อยไหมแล้วหน้าบวม
- เกิดได้จากการดึงไหมเยอะเกินไป ในกรณีนี้จะบวมนานเกิน 1 เดือนครับ ต้องรอให้ไหมเริ่มคลาย 2-3 เดือน ถึงจะเริ่มดีขึ้น
- เกิดจากการดึงไหมผิดแนว ถ้าร้อยไหมเพื่อดึงร่องแก้ม จะทำให้โหนกแก้มเนื้อเยอะขึ้นและทำให้หน้าดูบวมได้ครับ ปกติการร้อยไหมหมอจะแนะนำให้ร้อยเพื่อแก้ไขความหย่อนของแก้มในบริเวณใกล้ ๆ มุมปากมากกว่าร้อยเพื่อดึงร่องแก้มโดยตรง
2.ร้อยไหมแล้วเป็นไต
ปัญหาหลังร้อยไหม อีกอย่างที่พบคือบริเวณที่ร้อยไหมจะเป็นก้อน ไต สามารถจับและสัมผัสได้ในช่วงแรก เนื่องจากเส้นไหมจะดึงผิวหนังที่หย่อนคล้อยขึ้นไปกองรวมกัน อาการลักษณะนี้จะไม่ได้เป็นถาวร พอไหมเข้าที่ก็จะหายไปเองครับ
3. ร้อยไหมแล้วหน้าเป็นคลื่น
ปัญหาหลังร้อยไหมแล้วหน้าเป็นคลื่น เป็นอาการที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนครับ บางรายหลังร้อยไหมจะรู้สึกเหมือนเป็นคลื่นไม่เสมอกัน สาเหตุมาจากการดึงของเส้นไหม พอไหมเซ็ตตัวเข้าที่ก็จะหายไปเองเช่นกัน
4.ร้อยไหม ไหมขาด
ปัญหาหลังร้อยไหมแล้วไหมขาด อาจมาจากคุณภาพของเส้นไหมที่ไม่ดี หรือหมอเลือกใช้ไหมผิดประเภท ทำให้ไหมไม่มีความแข็งแรงมากพอที่จะดึงยกผิวได้
นอกจากนี้ ยังสามารถเกิดขึ้นได้หากคนไข้อ้าปากกว้างเกินไป หรือมีการแสดงสีหน้ามากจนดึงรั้งไหม การดูแลหลังตัวเองหลังร้อยไหมที่หมอเน้นย้ำกับคนไข้ทุกเคสเลยคือในช่วงแรกไม่ควรอ้าปากกว้าง ๆ เช่น การอ้าปากทำฟัน หรือแปรงฟันแรง ๆ ในระยะ 1 เดือนครับ
5.ร้อยไหมแล้วหน้าบุ๋ม หน้ายุบ
หลังร้อยไหมแล้วหน้ามีรอยบุ๋ม หรือหน้ายุบ เกิดจากหมอไม่มีประสบการณ์หรือมากพอครับ คืออาจดึงเส้นไหมตึงเกินไป เมื่อผิวถูกดึงรั้งมากจึงทำให้บุ๋มเป็นร่อง เสี่ยงต่อการทำให้เส้นไหมที่ถูกร้อยลงไปขาดง่ายมากขึ้น เมื่อคนไข้ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า
6.ร้อยไหมแล้วหน้าเบี้ยว
ปกติหลังร้อยไหมหน้าสองข้างจะสมมาตรกันครับ แต่บางครั้งที่คนไข้รู้สึกว่าหลังหลังร้อยไหมแล้วหน้าเบี้ยว เกิดได้จากอาการบวมยาชา หรือแรงดึงของไหมที่ยกหน้าขึ้น จะค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติเมื่อผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงครับ
อาการข้างเคียงหลังร้อยไหมที่ควรรู้ พร้อมวิธีดูแล
หลังร้อยไหมอาจเกิดอาการข้างเคียงเล็กน้อยจากการสอดไหมเข้าใต้ผิว ซึ่งเป็นเรื่องปกติและสามารถหายได้เองภายในระยะเวลาไม่นานครับ โดยทั่วไปจะพบอาการดังนี้
- บวม แดง หรือช้ำเล็กน้อย มักเกิดในช่วง 2-3 วันแรกหลังทำ จากการฉีดยาชาและการสอดไหม ควรประคบเย็นใน 48 ชั่วโมงแรก และรับประทานยาแก้อักเสบตามแพทย์สั่ง
- รู้สึกตึงหรือเจ็บเล็กน้อย เกิดจากแรงดึงของไหมที่ช่วยยกกระชับผิว สามารถหายได้เองภายใน 3-7 วัน
- รอยบุ๋มหรือผิวเป็นคลื่น พบได้บ้างในช่วงแรก โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวหย่อนมาก อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อไหมเข้าที่ใน 1-2 สัปดาห์
- เสียวหรือแปลบ ๆ ใต้ผิว มักเกิดจากการเสียดสีของไหมกับเนื้อเยื่อ ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
การดูแลหลังร้อยไหมเพื่อให้อาการหายเร็วขึ้น
- ประคบเย็นทันทีหลังทำในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
- หลีกเลี่ยงการถูหน้า นวดหน้า หรือนอนตะแคงในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
- งดออกกำลังกายหนัก ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้บวมช้ำมากขึ้น
- หากมีอาการบวม แดง ปวดร้อน หรือมีหนอง ควรรีบกลับมาพบแพทย์เพื่อประเมินอาการทันทีครับ
ร้อยไหมหน้าบวมนานกี่วัน ?
หลังร้อยไหมอาจมีอาการบวมแดงหรือเขียวช้ำเล็กน้อยตามแนวการสอดไหม หมอจะให้รับประทานยาแก้อักเสบประมาณ 3 วัน อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น และยุบบวมลงในช่วง 14 วัน
แต่ในกรณีที่ร้อยไหมไปแล้ว 4 วัน กลับมีอาการบวมแดงมากขึ้น แนะนำให้รีบกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการและรับประทานยาแก้ปวด ลดบวมเพิ่มครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : หลังร้อยไหม กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้กี่ปี ? มีข้อปฏิบัติตัวหลังทำอย่างไรบ้าง ?
หลังร้อยไหมกี่วันเห็นผล ?
การร้อยไหมสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ จากนั้นจะมีอาการบวมขึ้นเล็กน้อย แต่จะค่อย ๆ ยุบบวมและเห็นผลชัดเจนขึ้นตามลำดับใน 1 เดือนครับ โดยไหมที่หมอใช้ในปัจจุบันคือไหมเงี่ยงหรือไหมก้างปลา มีคุณสมบัติเด่น คือเมื่อทำการร้อยไหมลงในชั้นผิว ตัวเงี่ยงไหมที่คล้ายตะขอจะดึงผิวขึ้น จึงสามารถยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อยได้ทันที
คลินิกร้อยไหมที่ได้มาตรฐานสังเกตอย่างไร ?
ก่อนตัดสินใจร้อยไหม ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย โดยสามารถสังเกตได้จากจุดสำคัญดังนี้
- คลินิกได้ใบอนุญาตถูกต้อง : ต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุข แสดงชื่อแพทย์ผู้รับผิดชอบชัดเจน ภายในคลินิกต้องสะอาด ปลอดเชื้อ และมีอุปกรณ์ครบถ้วน
- แพทย์มีประสบการณ์จริง : ร้อยไหมเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความชำนาญสูง หมอที่มีประสบการณ์จะช่วยลดอาการบวมช้ำ ประเมินและออกแบบการยกกระชับได้เหมาะกับโครงหน้า ผลลัพธ์จึงดูเป็นธรรมชาติ
- มีรีวิวจากเคสจริง : ควรดูรีวิวผลลัพธ์จากผู้ใช้บริการจริง โดยเฉพาะแบบวิดีโอ เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของคลินิก และหลีกเลี่ยงภาพรีวิวที่อาจถูกแต่งหรือปรับแสงเกินจริง
- ใช้ไหมแท้คุณภาพดี : เส้นไหมต้องผ่านมาตรฐานทางการแพทย์ ปลอดภัย ละลายได้ 100% ไม่เปราะหรือหักง่าย ไม่มีสารตกค้าง และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ร้อยไหม ที่ไหนดี พร้อมวิธีเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
หลังร้อยไหม ดูแลตัวเองยังไง ?
หลังร้อยไหมอาจเกิดอาการบวม แดง หรือช้ำได้เล็กน้อย ซึ่งถือเป็นอาการปกติจากการตอบสนองของร่างกายต่อเส้นไหมและการฉีดยาชาครับ อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นเองภายใน 7-14 วัน
แนวทางการดูแลตัวเองหากมีอาการข้างเคียง
- รับประทานยาแก้อักเสบและยาฆ่าเชื้อตามแพทย์สั่ง เพื่อลดอาการบวมแดงและป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูหน้าแรง ๆ เพราะอาจทำให้เส้นไหมเคลื่อนตำแหน่งได้
- งดทำทรีตเมนต์ เลเซอร์ นวดหน้า หรือขัดผิว อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังทำ เพื่อลดความเสี่ยงการอักเสบ
- ประคบเย็นใน 48 ชั่วโมงแรก หากมีอาการบวมมาก
- หากพบอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ ปวดร้อน มีหนอง หรือผิวบุ๋มผิดรูป ควรรีบกลับมาพบแพทย์ทันที เพื่อประเมินและรักษาอย่างเหมาะสม
การดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้อาการข้างเคียงหายเร็วขึ้น และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังร้อยไหมครับ สามารถอ่านข้อปฏิบัติหลังร้อยไหมเพิ่มเติมได้ในบทความ หลังร้อยไหม มีข้อปฏิบัติ – ข้อห้าม อะไรบ้างที่ควรรู้
ไม่อยากมีปัญหาหลังร้อยไหม ทำหัตถการอะไรแทนได้บ้าง ?
สำหรับคนที่กังวลเรื่องการร้อยไหม กลัวเจ็บ หรือไม่มีเวลาพักฟื้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยี ยกกระชับผิวแบบไม่ต้องใช้ไหม ไม่ต้องฉีด และไม่ต้องพักฟื้นได้แก่ Ulthera / HIFU / Thermage / Volnewmer โดยแต่ละเครื่องจะมีจุดเด่นแตกต่างกันครับ
Ulthera ยกกระชับแม่นยำ ลึกถึงชั้น SMAS
Ulthera ใช้เทคโนโลยี MFU-V (Micro Focused Ultrasound with Visualization) ที่สามารถมองเห็นชั้นผิวจริงขณะยิง ทำให้แพทย์ส่งพลังงานได้ตรงจุดและแม่นยำ ช่วยยกกระชับได้ลึกถึงชั้น SMAS เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยปานกลาง ต้องการเห็นกรอบหน้าชัด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1 ปี
HIFU Ultraformer III เห็นผลทั่วหน้า ในราคาคุ้มค่า
HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ใช้พลังงานคลื่นเสียงความเข้มข้นสูงกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว เหมาะกับผู้ที่อายุยังน้อย หรือมีผิวหย่อนเล็กน้อย ต้องการยกกระชับให้ผิวดูแน่นขึ้นโดยไม่ต้องฉีดหรือพักฟื้น ให้ผลเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ใน 1–2 เดือน และอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน เหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวให้ดูเฟิร์มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปครับ
Volnewmer ยกหน้าชั้นลึก ด้วยพลัง RF + Ultrasound
Volnewmer เป็นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่ผสานพลัง RF (Radio Frequency) และ Ultrasound เข้าด้วยกันในเครื่องเดียว ทำงานได้ทั้งชั้นตื้นและชั้นลึกในครั้งเดียว ช่วยยกผิวแน่นทั่วหน้า ลดความหย่อนคล้อยได้อย่างเห็นผล เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ใกล้เคียง Ulthera แต่ไม่อยากรู้สึกเจ็บหรือกลัวความร้อน ผลอยู่ได้นาน 6-8 เดือน
Thermage FLX กระชับทั่วหน้า ด้วยพลังงานคลื่น RF
Thermage FLX ใช้พลังงานคลื่น Monopolar RF ส่งความร้อนลงสู่ชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ทั่วใบหน้า ช่วยให้ผิวแน่น เรียบเนียนขึ้น และรูขุมขนกระชับ เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก เช่น บริเวณแก้ม คาง หรือรอบดวงตา เห็นผลต่อเนื่องภายใน 2-3 เดือน และอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
สรุป ไม่อยากมีปัญหาหลังร้อยไหม ทำหัตถการอะไรแทนได้บ้าง ?
ปัจจุบันมีเครื่องยกกระชับให้เลือกหลายแบบ เช่น Ulthera, HIFU, Thermage และ Volnewmer ที่ช่วยยกผิวแน่นขึ้นโดยไม่ต้องพักฟื้น เหมาะกับผู้ที่กลัวเข็มหรือไม่สะดวกฉีด ทุกเครื่องให้ผลยกกระชับต่างกัน ควรให้แพทย์ประเมินเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิวที่สุดครับ
สรุป ปัญหาหลังร้อยไหม ดูแลยังไง ?
หากกังวลเรื่องปัญหาหลังร้อยไหม หรือผลข้างเคียงหลังร้อยไหม ควรศึกษาข้อมูลการร้อยไหมอย่างละเอียด พิจารณาเลือกใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีประสบการณ์ ใช้ไหมละลายที่ได้คุณภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัยครับ


