เทคนิค Bio Aesthetic Points (BAP)
Bio Aesthetic Points (BAP) เป็นเทคนิคฉีดผิวฟูแบบใหม่ที่ฉีดเพียง 5 จุด/ข้าง แต่ยาสามารภกระจายตัวกว้างทั่วใบหน้า ทำให้ได้ผลลัพธ์สม่ำเสมอ ไม่กระจุกตัวเป็นก้อน ที่สำคัญคือเจ็บน้อย เหมาะสำหรับคนที่ทนเจ็บได้น้อย มีผิวบาง ช้ำหรือระคายเคืองง่ายครับ
บทความนี้หมอจะพาเจาะลึกว่าเทคนิค Bio Aesthetic Points คืออะไร ? ต่างจากการฉีดทั่วไปอย่างไร ? ฉีดตำแหน่งไหน ใช้กับหัตถการอะไรบ้าง ? หลังฉีดจะมีรอยปูดหรือเป็นตุ่มไหม ? คนไข้สามารถติดตามอ่านได้ครับ
สารบัญ Bio Aesthetic Points
เทคนิค Bio Aesthetic Points (BAP) คืออะไร ?
เทคนิค Bio Aesthetic Points (BAP) คือการฉีดสกินบูสเตอร์ 5 จุด/ใบหน้า 1 ข้างครับ เป็นเทคนิคที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้สารบำรุงในกลุ่มฟื้นฟูเซลล์ผิว (Bioremodeling) กระจายตัวได้กว้างแม้ฉีดเพียงไม่กี่จุด ข้อดีคือปลอดภัย เจ็บน้อย ลด Downtime หลังฉีด และใช้เวลาทำน้อยกว่าการฉีดแบบเดิม
Bio Aesthetic Points พัฒนามาจากอะไร ? มีงานวิจัยรองรับไหม ?
เทคนิค BAP พัฒนาขึ้นจากแนวคิดการฉีดตามกายวิภาคใบหน้า (Anatomy-Based Injection) เพื่อหาตำแหน่งที่ปลอดภัยและยากระจายตัวในชั้นผิวได้ดี โดยอ้างอิงจากงานศึกษาของทีมแพทย์ยุโรปที่ทดลองการกระจายตัวของ HA โมเลกุลพิเศษ เช่น Profhilo ในอาสาสมัครจริง
จากผลการศึกษาพบว่าการฉีด 5 จุด/ข้าง ช่วยให้ยากระจายตัวสม่ำเสมอ, ใช้จุดฉีดน้อย, ลดความเสี่ยงต่อเส้นเลือดสำคัญ และให้ผลฟื้นฟูผิวทั่วหน้าได้ดีกว่าการฉีดแบบ Meso ทั่วหน้าแบบเดิม ทำให้ BAP เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในคลินิกความงามทั่วโลกในปัจจุบันครับ
Bio Aesthetic Points ฉีดตำแหน่งไหนบ้าง ?
สำหรับใบหน้า 1 ข้าง ตำแหน่งที่ฉีดจะประกอบด้วย
- จุดใต้ตาล่าง/โหนกแก้ม : เป็นจุดที่ช่วยให้ยากระจายเข้าสู่ผิวบริเวณใต้ตา หน้าแก้ม และโหนกแก้ม ทำให้ผิวดูฟู เรียบ แก้หน้าโทรม ลดความหมองคล้ำได้ดี
- จุดหน้าแก้ม/จุดข้างปีกจมูก : เป็นโซนที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นง่าย การฉีดในบริเวณนี้ช่วยปรับคุณภาพผิวให้ดูอิ่มน้ำ สม่ำเสมอ และกระจายไปทั่วแก้มส่วนกลางอย่างเป็นธรรมชาติ
- จุดแนวขากรรไกร/กราม : ตำแหน่งอยู่ด้านล่างของแก้มและเหนือแนวขากรรไกรเล็กน้อย เป็นจุดที่ช่วยให้สารกระจายไปยังแนวกรอบหน้า เพิ่มความยืดหยุ่นและความเนียนของผิวระหว่างแก้มและกราม
- จุดบริเวณมุมปากถึงปลายคาง : จุดนี้วางในตำแหน่งใกล้มุมปากและแนวคาง ช่วยฟื้นฟูผิวส่วนล่างของใบหน้า ทำให้ผิวโดยรวมแน่นขึ้น เมื่อสารกระจายตัวจะช่วยให้ผิวดูเรียบและอิ่มน้ำมากขึ้น
- จุดข้างใบหู/หน้าแก้มด้านข้าง : อยู่บริเวณด้านหน้าของใบหู จุดนี้ช่วยให้สารบำรุงกระจายไปยังแก้มด้านข้างและกรอบหน้า ทำให้ผิวบริเวณนี้เรียบเนียนขึ้นและลดความแห้งกร้านจากแดด
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เทคนิค Bio Aesthetic Points ฉีดบริเวณลำคอได้ด้วย โดยจะฉีดทั้งหมด 10 จุด โดยอิงจากกายวิภาคของลำคอส่วนหน้าและด้านข้าง เพื่อให้สกินบูสเตอร์กระจายตัวได้สม่ำเสมอ ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวคอแบบทั่วถึง ไม่เป็นปื้นหรือเป็นก้อนครับ
เทคนิค Bio Aesthetic Points กับ การฉีด Meso 16 จุดทั่วหน้า ต่างกันยังไง ?
เทคนิค Bio Aesthetic Points และการฉีด Meso 16 จุดทั่วหน้า เป็นวิธีฟื้นฟูผิวที่มีเทคนิค จุดประสงค์ วิธีการฉีด และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันครับ
| คุณสมบัติ | Bio Aesthetic Points (BAP) | Meso 16 จุดทั่วหน้า |
|---|---|---|
| จุดที่ฉีด | 5 จุด/ข้าง (รวม 10 จุด) | 16 จุดทั่วใบหน้า |
| ระดับความเจ็บ | เจ็บน้อยกว่า เพราะฉีดไม่กี่จุด | เจ็บกว่า เพราะฉีดหลายจุด |
| การกระจายของตัวยา | กระจายตัวกว้าง สม่ำเสมอทั่วหน้า โดยอาศัย Diffusion ตามกายวิภาค | กระจายตัวเฉพาะบริเวณที่ฉีด อาจไม่สม่ำเสมอ |
| ชนิดตัวยาที่เหมาะ | Profhilo, PN/PDRN, Hybrid HA, สกินบูสเตอร์ HA เข้มข้น | วิตามินผิว, HA โมเลกุลเล็ก, Meso หน้าใสทั่วไป |
| ผลลัพธ์ | ฟื้นฟูผิวเชิงลึก ผิวแน่นขึ้น ชุ่มน้ำทั่วหน้า ริ้วรอยเล็ก ๆ ดีขึ้น | ผิวฉ่ำน้ำระยะสั้น ใสขึ้นแบบชั่วคราว |
| ระยะเวลาผลลัพธ์ | อยู่ได้ 6-8 เดือน (ขึ้นกับยี่ห้อ) | อยู่ประมาณ 1-2 เดือน |
| ระยะเวลาพักฟื้น | ไม่ต้องพักฟื้น | ไม่ต้องพักฟื้น แต่อาจมีรอยเข็มและรอยช้ำมากกว่า |
| เหมาะกับใคร | ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบทั่วหน้าและอยู่ได้นาน | ผู้ที่ต้องการความใสแบบเร่งด่วนและชั่วคราว |
| เวลาในการทำ | รวดเร็ว เพราะฉีดไม่กี่จุด | ใช้เวลานานกว่า เนื่องจากต้องฉีดหลายตำแหน่ง |
ทั้งการฉีดแบบ BAP และ Meso 16 จุด เป็นเทคนิคที่ไม่มีอะไรผิดอะไรถูกครับ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมว่าใช้กับหัตถการอะไรมากกว่า อย่างเทคนิค BAP จะเหมาะกับสกินบูสเตอร์ที่ต้องการการกระจายตัวกว้าง เช่น Profhilo หรือ PN/PDRN ส่วน Meso 16 จุดเหมาะกับ HA โมเลกุลเล็กที่ต้องการกระจายบริเวณตื้นและกระจายเฉพาะจุด
ดังนั้น แพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าผิวของคนไข้ต้องการการฟื้นฟูระดับไหน ใช้สารชนิดใด และเทคนิคไหนให้ผลลัพธ์คุ้มค่าที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติครับ
ข้อดีของเทคนิค Bio Aesthetic Points
เทคนิค Bio Aesthetic Points ใช้เพียง 5 จุดต่อข้าง แต่มีข้อดีหลากหลายดังนี้
- กระจายตัวยาได้ทั่วหน้าอย่างสม่ำเสมอ โดยจะไหลซึมในชั้นผิวเหมือนตาข่าย ทำให้ผิวฟื้นฟูทั่วหน้า
- เจ็บน้อย ช้ำน้อย บวมน้อย ใช้เวลาทำน้อยกว่าแบบเดิม เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวแต่ไม่อยากพักฟื้นนาน
- ปลอดภัยสูง เพราะเลี่ยงจุดที่อาจเกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้ เหมาะกับการฉีดสกินบูสเตอร์ทุกชนิด
- แก้ได้ทุกปัญหาผิว ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นปุ่มนูนหรือก้อนใต้ผิว
- เหมาะกับการฟื้นฟูผิวแบบ Bioremodeling ช่วยปรับโครงสร้างผิวจากด้านในได้ดี
- เป็นเทคนิคที่มีงานวิจัยรองรับ ถูกพัฒนาจากการศึกษาเชิงกายวิภาคและ Paper ทางการแพทย์ในยุโรป เพื่อประเมินการกระจายตัวของสาร HA แบบ hybrid และสกินบูสเตอร์ในชั้นผิว จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลจริงในระดับสากล
เทคนิค Bio Aesthetic Points ใช้กับหัตถการอะไร ?
Bio Aesthetic Points ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ฉีด Profhilo โดยเฉพาะครับ เพราะใช้ Hybrid HA แบบ Non-Crosslinked ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 32 mg/ml มากกว่า HA ทั่วไปในฟิลเลอร์ที่มีเพียง 20–28 mg/ml จึงต้องใช้เทคนิคการฉีดที่ช่วยให้ตัวยากระจายตัวสม่ำเสมอ และไม่ต้องใช้หลายเข็มเหมือนวิธีเดิมครับ
แม้เทคนิค BAP จะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อ Profhilo เป็นหลัก แต่ปัจจุบันแพทย์ได้นำไปประยุกต์ใช้กับ Skin booster ที่มี HA ความเข้มข้นสูง เช่น PN/PDRN หรือสกินบูสเตอร์ HA เข้มข้นที่ต้องการ Diffusion สูง เพื่อให้ยากระจายตัวได้ดีครับ
Bio Aesthetic Points ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ โบท็อก หรือสารที่ต้องการคงตัวเฉพาะจุด เพราะหลักการของ BAP คือการให้ตัวยาแพร่กระจายทั่วผิว จึงเหมาะเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิวเป็นหลักครับ
ทำความรู้จัก Profhilo คืออะไร ?
Profhilo คือสกินบูสเตอร์กลุ่ม Collagen Biostimulator ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Hybrid Cooperative Complex (HCC) ที่รวม Hyaluronic Acid ทั้งสายสั้นและสายยาวเข้าด้วยกัน ช่วยทั้งกระตุ้นการสร้าง Collagen type 1, 3, 4,7 ช่วยฟื้นฟูผิวให้แน่น กระชับ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งต่างจากสกินบูสเตอร์ทั่วไปที่มักเน้นเพียงความชุ่มชื้นอย่างเดียวครับ
หลังฉีด Profhilo จะเริ่มเห็นผลใน 2 สัปดาห์ และเห็นผลชัดใน 1 เดือน ผิวจะอิ่มฟู ฉ่ำน้ำ ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง คุณภาพผิวโดยรวมดีขึ้น อยู่ได้นาน 6-8 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบไม่ต้องการเพิ่มปริมาตรใบหน้า และต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติครับ
ทำความรู้จัก Profhilo เพิ่มเติม คลิก!
เปรียบเทียบ Profhilo กับสกินบูสเตอร์กลุ่ม Collagen Biostimulator ยี่ห้ออื่น ๆ
ปัจจุบันการฟื้นฟูผิวชั้นลึกไม่ได้มีแค่ Profhilo เพียงตัวเดียวครับ แต่ยังมีกลุ่ม Collagen Biostimulator อีกหลายยี่ห้อที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับคุณภาพผิว แตกต่างกันที่ชนิดสาร ตำแหน่งการฉีด และผลลัพธ์ที่ได้
Sculptra
Sculptra เป็นสารกลุ่ม PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ทำหน้าที่เป็น Collagen Biostimulator โดยตรง ไม่ได้เพิ่มปริมาตรทันทีเหมือนฟิลเลอร์ แต่จะค่อย ๆ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ฉีดได้ทั้งใบหน้าและ Sculptra Body ครับ
- เหมาะกับคนที่ต้องการปรับโครงสร้างผิวให้แน่นและยกขึ้นในระยะยาว
- มักใช้กับใบหน้า แก้ม ขมับ หรือส่วนที่เริ่มตอบ ผิวหลวม
- ไม่เห็นผลลัพธ์ทันที แต่ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามคอลลาเจนที่สร้างเพิ่ม
ต่างจาก Profhilo ยังไง ?
Profhilo ช่วยให้ผิวฟู ฉ่ำน้ำ คุณภาพผิวดีขึ้นทั่วหน้า ชัดเจนในช่วง 2-4 สัปดาห์ ขณะที่ Sculptra จะช่วยให้โครงสร้างผิวแน่นขึ้น ยกเล็กน้อยในระยะยาวมากกว่า และมีความเป็น Biostimulator ชัดเจนกว่าเรื่อง Volume Support เล็กน้อยครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : Sculptra VS Rejuran เหมือนและต่างกันอย่างไร ? ฉีดตัวไหนผลลัพธ์ดีกว่า ?
HArmonyCa
HArmonyCa เป็น Hybrid Filler ที่รวม HA (Hyaluronic Acid) กับ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) เข้าด้วยกัน ให้ผลลัพธ์ 2 in 1 ทั้งเติมเต็มร่องลึก พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์แบบยาวนาน ผิวฟู หน้าแน่นขึ้น
- HA ให้ Volume และความฟูทันที
- CaHA กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยให้หน้ายกกระชับ หน้าเด็กลง ผิวแน่นขึ้นในระยะยาว
- เหมาะกับการยก Midface เช่น หน้าแก้ม ร่องแก้ม และกรอบหน้า
ต่างจาก Profhilo ยังไง ?
Profhilo ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิว ไม่เน้นปรับรูปหน้า ส่วน HArmonyCa ช่วยทั้งเติมเต็มร่องลึก + กระตุ้นคอลลาเจน เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าและกระตุ้นคอลลาเจนไปพร้อมกันครับ
Juvelook
Juvelook เป็นสกินบูสเตอร์ที่ผสม Polylactic Acid (PLA) กับ Hyaluronic Acid เข้าด้วยกัน ออกแบบมาเพื่อใช้ทั้งในผิวหน้าและบริเวณรอบดวงตา เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน แก้ใบหน้าหมองคล้ำ ปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสอย่างสม่ำเสมอครับ
- ช่วยให้ผิวละเอียดขึ้น รูขุมขนเล็กลง และรอยสิวตื้นขึ้นในบางเคส
- มีความเป็นกลางระหว่าง Skin booster กับ Biostimulator
- เน้นปรับ texture ผิวและความเรียบเนียน
ต่างจาก Profhilo ยังไง ?
Profhilo เน้นคุณภาพผิวในภาพรวม ชุ่มชื้น ยืดหยุ่น ดูฉ่ำ ส่วน Juvelook จะปรับผิวเนียนกระจ่างใส กระชับรูขุมขน ลดรอยสิวมากกว่า เหมาะกับคนที่อยากแก้ Texture ผิวเป็นหลักครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : Juvelook VS Sculptra เปรียบเทียบ 2 งานผิวตัวดัง ต่างกันอย่างไร ? ทำอันไหนดี ?
Radiesse
Radiesse เป็น Biostimulator ที่ใช้สาร Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งทำหน้าที่ทั้งเป็น Filler ช่วยเติม Volume และกระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูถึงโครงสร้างผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ดูสุขภาพดี และยืดอายุผิวที่ดีได้ยาวนาน
- เหมาะกับการยกกรอบหน้า เติมขมับ ร่องแก้ม คาง และแนวกราม
- ทำให้ใบหน้าดูคมชัดขึ้น พร้อมผิวแน่นขึ้นจากคอลลาเจนใหม่
- มักใช้ในชั้นลึก ไม่ใช่ในชั้นผิวตื้นเหมือนสกินบูสเตอร์ทั่วไป
ต่างจาก Profhilo ยังไง ?
Profhilo ไม่ได้เติม Volume แต่ปรับคุณภาพผิวเป็นหลัก ขณะที่ Radiesse เติม Volume + กระตุ้นคอลลาเจน ให้อารมณ์ ปรับโครงสร้างใบหน้าและยกผิวมากกว่าหน้าใสฉ่ำน้ำแบบ Profhilo ครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : Sculptra VS Radiesse เจาะลึก 2 งานผิวยอดนิยม ผลลัพธ์นาน 2 ปี แตกต่างกันอย่างไร ?
Ultracol
Ultracol เป็น Collagen Biostimulator ที่ใช้ PDO (Polydioxanone) Microspheres มาปรับโมเลกุลให้มีขนาดเล็กลงมาก ๆ เพื่อใช้สำหรับการฉีด จึงนิยมเรียกว่าไหมน้ำเหมือนกับ Gouri ครับ ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของชั้นผิว ทำให้ผิวกระชับ และเต่งตึงขึ้น
- เหมาะสำหรับการกระตุ้นคอลลาเจนในบริเวณที่ต้องการความแน่น เช่น แก้ม กรอบหน้า หรือบางจุดบนใบหน้าและลำตัว
- ค่อย ๆ เห็นผลชัดใน 4 สัปดาห์
- เหมาะกับเคสที่ผิวเริ่มบาง หย่อน และมี Volume หายไปบางส่วน
ต่างจาก Profhilo ยังไง ?
Profhilo เน้น Quality + Hydration ผิว ส่วน Ultracol เน้น Collagen Remodeling + Firmness ฟื้นฟูโครงสร้างผิวมากกว่าปรับผิวฉ่ำใสแบบสกินบูสเตอร์ครับ
Neauvia Hydro Deluxe
Neauvia Hydro Deluxe เป็นสกินบูสเตอร์ที่ใช้ HA ความเข้มข้นค่อนข้างสูง ผสมกับสารกระตุ้นผิว Calcium Hydroxyapatite หรือ CaHA (0.01%) และ L-Proline กับ Glycine ที่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใส ลดริ้วรอยตื้น กระชับรูขุมขน ผิวฉ่ำวาว Glass Skin สุขภาพดี ไม่บวมหลังฉีด
- ช่วยให้ผิวชุ่มน้ำ พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนบางส่วน
- เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ทั้งผิวชุ่มน้ำ + ผิวแน่นขึ้นเล็กน้อย
- มักใช้ในโปรแกรม Skin Quality Improvement เช่นเดียวกับ Profhilo
ต่างจาก Profhilo ยังไง ?
Profhilo ใช้ Hybrid HA ที่มีความเข้มข้นสูง เป็น Ioremodeling โดยตรง ส่วน Neauvia Hydro Deluxe จะอยู่กึ่งกลางระหว่าง Skin booster + Collagen Stimulant แต่ความเป็น Biostimulator อาจไม่ชัดเท่า Profhilo หรือกลุ่ม PCL/PLLA ครับ
ไม่มีตัวไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่ละตัวมีจุดเด่นและความจุดเหมาะสมต่างกัน แพทย์ต้องประเมินจากผิว อายุ ปัญหาหลัก และผลลัพธ์ที่คนไข้ต้องการ เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์และเทคนิคการฉีดที่ให้ผลลัพธ์ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุดครับ
ขั้นตอนการฉีด Bio Aesthetic Points
Bio Aesthetic Points จะฉีดตำแหน่งตามกายวิภาค 5 จุด/ข้าง เพื่อให้ตัวยากระจายตัวได้สม่ำเสมอทั่วใบหน้า ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาไม่นาน เจ็บน้อย และปลอดภัย โดยขั้นตอนการทำมีดังนี้ครับ
- แพทย์ตรวจสภาพผิว ความหย่อนคล้อย คุณภาพผิว เพื่อกำหนดว่าควรใช้ Profhilo หรือสกินบูสเตอร์ประเภทใดร่วมกับเทคนิค BAP
- ทำความสะอาดใบหน้าเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ และทายาชาเพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีด (บางเคสแทบไม่ต้องใช้เพราะฉีดไม่กี่จุด)
- แพทย์ฉีดแต่ละจุดด้วยปริมาณตัวยาที่กำหนด เพื่อให้ตัวยากระจายตัวตามโครงสร้างผิว ลดโอกาสเป็นก้อน ช้ำ หรือบวม
- แพทย์ประเมินการกระจายตัวบริเวณรอบจุดฉีด พร้อมแนะนำการดูแลหลังทำ เช่น หลีกเลี่ยงการจับหน้า นวดหน้า หรือออกกำลังกายหนักช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- นัดติดตามผลภายใน 1-2 สัปดาห์ และชัดขึ้นใน 4 สัปดาห์ อาจมีการนัดทำซ้ำตามโปรแกรม เช่น 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือนในกรณีของ Profhilo
ผลข้างเคียงหลังฉีดด้วยเทคนิค Bio Aesthetic Points
เทคนิค Bio Aesthetic Points (BAP) มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงมักเล็กน้อยและหายเองภายใน 1-2 วัน เช่น
- รอยปูดเล็ก ๆ จากตัวยา (ยุบในไม่กี่ชั่วโมง)
- รอยแดงหรือรอยเข็ม
- อาการตึงผิวหรือบวมเล็กน้อย
- รอยช้ำในบางราย (พบไม่บ่อย)
อาการรุนแรง เช่น ปวดมาก ผิวซีดหรือคล้ำผิดปกติ พบได้น้อยหากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ครับ
ทำไมการฉีด Bio Aesthetic Points ต้องทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ?
เทคนิค Bio Aesthetic Points แม้ปลอดภัยกว่าวิธีฉีดหลายเข็ม แต่ก็ยังต้องอาศัยความแม่นยำด้านกายวิภาค ความชำนาญในการประเมินผิว และเทคนิคเฉพาะของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากการฉีดให้มากที่สุด
การฉีด BAP โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์จึงสำคัญด้วยเหตุผลต่อไปนี้ครับ
- แพทย์ต้องรู้ระดับผิว เส้นเลือด และรู้ว่าจุดไหนต้องฉีดลึก-ตื้นแค่ไหน เพื่อป้องกันการช้ำหรือเป็นก้อน
- แพทย์จะรู้วิธีปรับเทคนิคให้เข้ากับแต่ละคน เพื่อให้กระจายตัวดีและเห็นผลเร็ว
- แพทย์ต้องเลือกให้เหมาะกับปัญหา เช่น ลดริ้วรอย ผิวแห้ง ผิวหย่อน หรือผิวไม่สดใส เพราะสกินบูสเตอร์แต่ละชนิด ออกฤทธิ์ไม่เหมือนกัน
- หากฉีดผิดตำแหน่ง แพทย์จะรู้วิธีป้องกันและแก้ไขทันที
- แพทย์จะรู้ว่าต้องฉีดแบบไหน เพื่อให้ผิวหน้าเรียบเนียนทั่วทั้งใบหน้า ไม่เกิดจุดที่ฟูหรือแห้งไม่เท่ากัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Bio Aesthetic Points
เทคนิคฉีดแบบ Bio Aesthetic Points เจ็บไหม ?
เจ็บน้อยกว่าการฉีดแบบ meso ทั่วหน้าครับ เพราะฉีดเพียง 5 จุด/ข้าง และส่วนใหญ่มีการทายาชาก่อนฉีด ทำให้รู้สึกเพียงตึง ๆ เล็กน้อยเท่านั้นครับ
หลังฉีดจะมีรอยปูดหรือเป็นตุ่มไหม ?
อาจมีตุ่มเล็กๆ ตามตำแหน่งที่ฉีด แต่จะยุบเองใน 4-5 ชั่วโมง เพราะเป็นรอยปริมาตรของตัวยา ไม่ใช่อาการผิดปกติครับ
เทคนิค Bio Aesthetic Points ฉีดได้ทั้งใบหน้าและคอไหม ?
ได้ครับ เทคนิค BAP ใช้กับใบหน้า 5 จุด/ข้าง และลำคอ 10 จุด เพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิวทั่วบริเวณที่มักมีความหย่อนคล้อยหรือริ้วรอย
เทคนิค Bio Aesthetic Points คนผิวบาง ผิวแพ้ง่าย ทำได้ไหม ?
ทำได้ครับ เพราะตำแหน่ง BAP ถูกออกแบบมาให้เลี่ยงเส้นเลือดใหญ่ ลดรอยช้ำ และเหมาะกับผิวทุกประเภท แม้ผิวบางหรือผิวแพ้ง่าย
เทคนิค Bio Aesthetic Points ใช้กับโบท็อกได้ไหม ?
ไม่ได้ใช้ร่วมกันในจุดฉีดเดียวกัน แต่สามารถทำโบท็อกในบริเวณอื่นในช่วงใกล้เคียงได้ แพทย์จะประเมินเวลาให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลครับ
สรุป Bio Aesthetic Points ดีไหม ?
Bio Aesthetic Points (BAP) เป็นเทคนิคที่ใช้จุดฉีดน้อย เจ็บน้อย แต่กระจายตัวยาได้ทั่วหน้าอย่างสม่ำเสมอ นิยมใช้กับ Profhilo และสกินบูสเตอร์กลุ่ม Biostimulator ที่ต้องการการแพร่กระจายลึกในชั้นผิว เหมาะกับคนที่ต้องการผิวดีขึ้นแบบทั่วหน้ามากกว่าการเติมปริมาตรใบหน้าครับ
หากต้องการประเมินว่าเทคนิคนี้เหมาะกับผิวคนไข้ไหม สามารถนัดปรึกษาแพทย์โดยตรงได้ที่ V Square Clinic ทุกสาขา ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ


