ลดรอยสิว
ปัญหารอยสิว ทั้งรอยดำ รอยแดง รอยหลุมสิว รอยแผลเป็น เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการรักษา เพื่อให้ผิวกลับมาใสและเรียบเนียน ซึ่งมีหลายวิธีในการลดรอยสิว ไม่ว่าจะเป็นการทาครีมลดรอยสิว การสครับ การใช้หัตถการทางการแพทย์แบบต่าง ๆ ที่มีข้อดีแตกต่างกันไป สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลเรื่องการลดรอยสิว หมอมีแนะนำในบทความนี้ พร้อมสรุปว่าวิธีไหนดีอย่างไร ลดรอยสิวอย่างไรให้เห็นผลเร็ว
สารบัญ ลดรอยสิว
รอยสิว รอยแผล และรอยหลุมสิว เกิดขึ้นได้อย่างไร
รอยสิว รอยแผล หรือรอยหลุมสิว มีสาเหตุมาจากเมื่อเป็นสิวแล้วรักษาด้วยการกด บีบ จะทำให้เซลล์เนื้อเยื่อถูกทำลาย เส้นเลือดฝอยบนผิวหนังแตกออก เกิดการอักเสบ นอกจากนี้ผิวหน้ายังเป็นจุดที่โดดแสงแดดได้ง่าย หากไม่มีการทาครีมกันแดดป้องกัน บริเวณที่เป็นสิวก็อาจจะเกิดรอยดำได้ครับ โดยสามารถแบ่งรอยสิวเป็น 3 รูปแบบ
- รอยสิวและรอยแผลเป็นจากสิว ประเภทนี้เกิดจากสิวอุดตันที่มีหัวสิวอักเสบ เป็นสิวหนอง สิวหัวช้าง ซึ่งจะกินเนื้อลึกถึงผิวชั้นใน เมื่อสิวหายจึงเกิดเป็นรอยแผลเป็น โดยเฉพาะในคนที่ผิวคล้ำ ผิวในจุดที่อักเสบจะกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีผิว หลังสิวหายจึงยังเห็นเป็นรอยดำทิ้งไว้ (จุดด่างดำ หรือ post-inflammatory hyperpigmentation)
- รอยสิวที่เป็นรอยแดงและรอยดำ จะมีลักษณะเป็นจุดด่าง ๆ บนใบหน้า เกิดจากการแกะหรือกดสิวจนผิวเป็นรอย เมื่อร่างกายเริ่มซ่อมแซมผิวจะมีการผลิตเม็ดสีเมลานินขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ทำให้จุดที่เป็นสิวมีสีเข้มขึ้นเป็นรอยดำ
- รอยสิวหลุมลึก เกิดจากสิวที่อักเสบอย่างรุนแรง ส่งผลให้เอนไซม์ทำลายชั้นผิวหนังบริเวณชั้นผิวที่อักเสบ ทำให้เกิดเป็นหลุมลึกบนผิว ซึ่งการรักษาต้องใช้เวลานาน บางคนที่เป็นสิวอักเสบซ้ำซาก อาจทำให้เป็นแผลหลุมสิวถาวรได้ โดยรอยหลุมสิวลึกแบ่งได้เป็น 5 ลักษณะ ดังนี้
- Rolling Scars เป็นจุดหลุมบนผิวหนัง หรือเป็นหลุมสิวตื้น ๆ
- Ice-pick Scars เป็นรอยหลุมสิวแบบจุดหลุมลึก
- Atrophic Scars เป็นรอยหลุมยุบลงไป แต่รอยนั้นมีความแบนและบาง
- Boxcar Scars เป็นรอยหลุมกว้างขนาดใหญ่ และมีขอบหลุมชัดเจน
- Hypertrophic หรือ Keloid Scars เป็นรอยแผลเป็นนูนขึ้นมาบนผิวหนัง
10 วิธีลดรอยสิว รอบหลุมสิว รอยแผลที่เกิดจากสิว
1. การทาครีมลดรอยสิว
เมื่อเป็นสิวแล้วควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวโดยเฉพาะ และดูแลผิวอย่างต่อเนื่องหลังจากสิวหาย โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถลดเลือนปัญหารอยสิว ที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี, คอร์ติโซน (Cortisone), กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid), อาร์บูติน (Arbutin), กรดโคจิก (Kojic Acid), เซราไมด์ (Ceramide), วิตามินบี 3, ไนอะซิน (Niacin) มีประโยชน์ในการช่วยลดภาวะอักเสบของผิวหนัง และทำให้รอยสิวจางลง แต่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ รวมไปถึงควรปรึกษาเภสัชก่อนใช้ยา เพื่อให้เหมาะกับผิวและปัญหาของแต่ละคนมากที่สุด
2. ฉีดเมโสหน้าใส วิตามินผิว
เมโสหน้าใส เป็นการฉีดตัวยาที่มีวิตามินต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ เข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง ในผิวชั้นกลาง (Dermis) เป็นชั้นผิวหนังแท้ จะประกอบไปด้วยคอลลาเจน อิลาสติน hyaluronic acid เนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นกับผิว เมื่อบำรุงผิวในจุดนี้จะทำให้สารบำรุงต่าง ๆ แสดงประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ทำให้เห็นผลไวกว่าการทาครีม
การฉีดเมโสหน้าใส ทำให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยลดรอยสิวให้หายเร็วขึ้น อาจจะไม่ได้ช่วยลดรอยสิวเร่งด่วน แต่จะช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส ลดการอักเสบ ขับสารพิษที่สะสม ทำให้ผิวแข็งแรง โดยการฉีดเมโสหน้าใสจะค่อย ๆ เห็นผลใน 7-14 วัน และควรฉีดเมโสหน้าใสอย่างต่อเนื่องในช่วงแรก สัปดาห์ละครั้ง เมื่อเริ่มเห็นผลชัดเจน และผลลัพธ์คงที่ ก็สามารถเว้นระยะเวลามาฉีดได้ตามความเหมาะสมครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดเมโสหน้าใส คืออะไร? อันตรายหรือไม่? ข้อควรรู้ก่อนทำเมโสหน้าใส
3. การใช้เลเซอร์ลดรอยสิว
สำหรับคนที่มีปัญหารอยสิว วิธีแก้ไขส่วนใหญ่ที่นิยมคือการทำเลเซอร์ลบรอยสิว วิธีนี้จะใช้การยิงแสงเลเซอร์เข้าไปบริเวณผิวหนังที่เป็นรอยสิว จะช่วยกำจัดผิวชั้นนอกที่เสียทิ้งไป และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ในผิวชั้นกลาง โดยหลังเลเซอร์แล้วจะต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายวัน ต้องระวังไม่ให้ผิวหน้าโดนแสงแดด ผิวจะค่อย ๆ ฟื้นฟูและกลับมาเรียบเนียนเสมอกัน เริ่มเห็นได้ชัดประมาณ 2 – 3 สัปดาห์หลังเลเซอร์ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละบุคคล
4. สครับหน้าลดรอยสิว
การสครับหน้าจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และช่วยให้ผิวมีความสม่ำเสมอกันมากขึ้น แต่ควรเลือกสูตรสครับหน้าที่ไม่ทำร้ายผิว หรือกัดผิวมากจนเกินไป ใช้ส่วนผสมที่ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นเข้าไปด้วย จะทำให้หลังสครับหน้าผิวไม่แห้ง ช่วยลดความระคายเคืองต่าง ๆ ได้ เช่น น้ำตาลทรายแดง โยเกิร์ต น้ำมะนาว การสครับหน้าไม่ควรทำบ่อยเกินไป โดยระยะที่เหมาะสมคืออาทิตย์ละ 2 ครั้งก็เพียงพอครับ
5. ใช้ยาทาแผลเป็น
หลังรักษาสิวและกำจัดหัวสิวออกไปแล้ว อาจมีแผลเป็นที่หลงเหลืออยู่ การรักษารอยดําจากสิวสามารถใช้ยาทาแผลเป็นเพื่อลบรอยสิวช่วยได้ ลักษณะจะเป็นเนื้อครีม หมั่นทาบ่อย ๆ นอกจากช่วยลดรอยสิว ยังช่วยลดเลือนหลุมสิว รอยดำจากสิว รอยแดง ลดอาการอักเสบจากสิว ช่วยปลอมประโลมผิวไม่ให้เกิดอาการระคายเคือง ในส่วนผสมของยาทาแผลเป็นบางยี่ห้อยังช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย และช่วยผลัดเซลล์ผิวให้กระจ่างใสได้
6. ทาว่านหางจระเข้ลดรอยสิว
ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติช่วยสมานแผล รักษาความสมดุลของผิว ลดอาการอักเสบของผิว รักษาปัญหาสิว รอยแผล จุดด่างดำ สำหรับคนที่มีปัญหารอยสิวสามารถนำว่านหางจระเข้มาปั่นให้ละเอียด หรือฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ใช้มาส์กหน้าเป็นประจำ ช่วยปรับสภาพผิวหน้า ทำให้รอยสิวจางลงได้ สามารถทำควบคู่กับการรักษารอยดําจากสิวด้วยวิธีอื่นเพื่อช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้นได้ครับ
7. มาสก์หน้าด้วยสมุนไพร
รักษารอยแดงจากสิวธรรมชาติด้วยสมุนไพรไทย ซึ่งหลายชนิดมีคุณสมบัติในการขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก ทำให้ผิวกระจ่างใส และเพิ่มความชุ่มชื้นได้ เช่น มะขามเปียก น้ำผึ้ง มะนาว มะเขือเทศ ผสมกับนมสดหรือโยเกิร์ต แล้วนำมาพอกหน้าสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ควบคู่กับการทาครีมหรือยาทาแผลเป็น จะช่วยลดรอยสิว รอยแดง จุดด่างดำ รอยดำจากสิวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
8. ทำ Hifu ลดรอยสิว
Hifu Ultraformer III เป็นเครื่องมือที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว จะไม่ใช่การลดรอยดํารอยแดงจากสิวโดยตรง แต่จะช่วยทำให้ผิวแข็งแรง มีน้ำมีนวลและชุ่มชื้นมากขึ้น การทำ Hifu เป็นการบำรุงผิวจากภายใน ทำงานโดยใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ ที่พัฒนามาจากการอัลตร้าซาวด์ดูครรภ์ทางการแพทย์ ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวแต่ละชั้นโดยตรง นอกจากช่วยเรื่องคุณภาพผิวยังช่วยเรื่องการกระชับผิว เป็นอีกวิธีที่สามารถทำร่วมกับการทาครีม หรือการบำรุงวิธีอื่น ๆ
9. การศัลยกรรมรักษาหลุมสิว
ศัลยกรรมหลุมสิว เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยการผ่าตัด ซึ่งจะมีหลายเทคนิค เช่น ตัดรอยหลุมสิวออก จากนั้นก็เย็บแผลให้ติดกัน, ยกเนื้อบริเวณหลุมสิวขึ้นมาให้เท่ากับเนื้อผิวหน้าปกติ จากนั้นก็เย็บเนื้อที่ยกขึ้นมาให้ติดกับเนื้อผิวโดยรอบ, กรีดหลุมสิวให้เป็นวงรี ก่อนจะเย็บแผลให้ติดกัน, ใช้เนื้อบริเวณอื่นมาปิดที่หลุมสิว และเย็บปิดเพื่อให้เนื้อเยื่อเติบโตจนเติมเต็มหลุมสิว ช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนเสมอกัน ซึ่งวิธีลดรอยสิวอื่น ๆ ไม่สามารถรักษาได้
10. ฟิลเลอร์หลุมสิว
สำหรับคนที่มีปัญหารอยหลุมสิว แต่ไม่อยากแก้ไขด้วยการผ่าตัดหรือเลเซอร์ สามารถใช้การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว (Hyaluronic Acid) ช่วยเติมใต้ชั้นผิวเพื่อให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้ ฟิลเลอร์มีลักษณะเป็นเจลเนื้อละเอียด ฉีดแล้วเบลนไปกับผิว แพทย์จะใช้เทคนิคการฉีดเพื่อให้ผิวเต็มขึ้นมาเท่าผิวเดิมให้ได้มากที่สุด หลังฉีดฟิลเลอร์เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว
เพื่อให้เกิดรอยสิวน้อยที่สุด เมื่อเป็นสิว ควรปฏิบัติตัวดังนี้
- อย่าแคะ แกะ หรือบีบสิว – เมื่อเป็นสิวไม่ควรพยายามบีบ แกะ หรือสัมผัสบริเวณที่เป็นสิวโดยไม่จำเป็น เพราะมือและเล็บมักมีสิ่งสกปรกติดอยู่ รวมถึงจะเป็นการรบกวนผิว ทำให้เกิดการระคายเคืองมากกว่าเดิม นำไปสู่การเป็นสิวอักเสบได้
- ปกป้องผิวจากแสงแดด – การป้องกันผิวจากแสง UV ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เราไม่ควรให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง รังสี UV จากแดดจะทำให้ผิวกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวหมองคล้ำ ยิ่งถ้าเป็นสิวซึ่งผิวบอบบางกว่าจุดอื่น ก็จะทำให้เกิดรอยดำได้ง่าย จึงควรทาครีมกันแดดเสมอ
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ – การดื่มน้ำมาก ๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวชุ่มชื้น สุขภาพดี ลดการเกิดสิว เนื่องจากเมื่อผิวแห้งมาก ๆ จะมีการผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น จนไปสาเหตุนำไปสู่การเกิดสิว นอกจากนี้การดื่มน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ยังช่วยเรื่องขับสารพิษ และทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น สุขภาพผิวก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
- รับประทานอาหารเสริม ช่วยบำรุงผิว – ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน รวมถึงการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป เน้นความเร็วมากกว่าคุณประโยชน์ อาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เมื่อเจอกับมลภาวะต่าง ๆ ทำให้เกิดสิวหรือปัญหาผิวได้ง่ายขึ้น การทานวิตามินบำรุงผิวก็จะช่วยทดแทนในส่วนที่ขาดหายไปได้ เช่น วิตามินซี, วิตามินอี,วิตามินบี ฯลฯ
สรุป
การลดรอยสิว ทั้งรอยดำ รอยแดง รอยหลุมสิว นอกจากการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญคือการป้องกัน และลดโอกาสการเกิดรอยสิวในช่วงที่เป็นสิวครับ ทั้งนี้สำหรับใครที่อยากหาวิธีลดรอยสิวเร่งด่วน ต้องเข้าใจก่อนว่า การรักษารอยสิวไม่สามารถทำให้รอยหายไปได้ใน 1 หรือ 2 วัน ต้องค่อย ๆ ใช้เวลาให้เซลล์ผิวได้ฟื้นฟูครับ แต่ถ้าหมั่นดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้รอยสิวลดลงเร็วขึ้นได้แน่นอน
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ