รู้จักเทคนิค Bio Aesthetic Points (BAP) คืออะไร ? ฉีดจุดไหน ? ใช้กับหัตถการอะไร ? ต่างจากฉีดเมโส 16 จุดยังไง ?

Reading Time: 6 minutes

เทคนิค Bio Aesthetic Points (BAP)

Bio Aesthetic Points

Bio Aesthetic Points (BAP) เป็นเทคนิคฉีดผิวฟูแบบใหม่ที่ฉีดเพียง 5 จุด/ข้าง แต่ยาสามารภกระจายตัวกว้างทั่วใบหน้า ทำให้ได้ผลลัพธ์สม่ำเสมอ ไม่กระจุกตัวเป็นก้อน ที่สำคัญคือเจ็บน้อย เหมาะสำหรับคนที่ทนเจ็บได้น้อย มีผิวบาง ช้ำหรือระคายเคืองง่ายครับ

บทความนี้หมอจะพาเจาะลึกว่าเทคนิค Bio Aesthetic Points คืออะไร ? ต่างจากการฉีดทั่วไปอย่างไร ? ฉีดตำแหน่งไหน ใช้กับหัตถการอะไรบ้าง ? หลังฉีดจะมีรอยปูดหรือเป็นตุ่มไหม ? คนไข้สามารถติดตามอ่านได้ครับ

สารบัญ Bio Aesthetic Points


เทคนิค Bio Aesthetic Points (BAP) คืออะไร ?

เทคนิค Bio Aesthetic Points (BAP) คือการฉีดสกินบูสเตอร์ 5 จุด/ใบหน้า 1 ข้างครับ เป็นเทคนิคที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้สารบำรุงในกลุ่มฟื้นฟูเซลล์ผิว (Bioremodeling) กระจายตัวได้กว้างแม้ฉีดเพียงไม่กี่จุด ข้อดีคือปลอดภัย เจ็บน้อย ลด Downtime หลังฉีด และใช้เวลาทำน้อยกว่าการฉีดแบบเดิม

Bio Aesthetic Points พัฒนามาจากอะไร ? มีงานวิจัยรองรับไหม ?

เทคนิค BAP พัฒนาขึ้นจากแนวคิดการฉีดตามกายวิภาคใบหน้า (Anatomy-Based Injection) เพื่อหาตำแหน่งที่ปลอดภัยและยากระจายตัวในชั้นผิวได้ดี โดยอ้างอิงจากงานศึกษาของทีมแพทย์ยุโรปที่ทดลองการกระจายตัวของ HA โมเลกุลพิเศษ เช่น Profhilo ในอาสาสมัครจริง

จากผลการศึกษาพบว่าการฉีด 5 จุด/ข้าง ช่วยให้ยากระจายตัวสม่ำเสมอ, ใช้จุดฉีดน้อย, ลดความเสี่ยงต่อเส้นเลือดสำคัญ และให้ผลฟื้นฟูผิวทั่วหน้าได้ดีกว่าการฉีดแบบ Meso ทั่วหน้าแบบเดิม ทำให้ BAP เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในคลินิกความงามทั่วโลกในปัจจุบันครับ


Bio Aesthetic Points ฉีดตำแหน่งไหนบ้าง ?

เทคนิค Bio Aesthetic Points

สำหรับใบหน้า 1 ข้าง ตำแหน่งที่ฉีดจะประกอบด้วย

  1. จุดใต้ตาล่าง/โหนกแก้ม : เป็นจุดที่ช่วยให้ยากระจายเข้าสู่ผิวบริเวณใต้ตา หน้าแก้ม และโหนกแก้ม ทำให้ผิวดูฟู เรียบ แก้หน้าโทรม ลดความหมองคล้ำได้ดี
  2. จุดหน้าแก้ม/จุดข้างปีกจมูก : เป็นโซนที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นง่าย การฉีดในบริเวณนี้ช่วยปรับคุณภาพผิวให้ดูอิ่มน้ำ สม่ำเสมอ และกระจายไปทั่วแก้มส่วนกลางอย่างเป็นธรรมชาติ
  3. จุดแนวขากรรไกร/กราม : ตำแหน่งอยู่ด้านล่างของแก้มและเหนือแนวขากรรไกรเล็กน้อย เป็นจุดที่ช่วยให้สารกระจายไปยังแนวกรอบหน้า เพิ่มความยืดหยุ่นและความเนียนของผิวระหว่างแก้มและกราม
  4. จุดบริเวณมุมปากถึงปลายคาง : จุดนี้วางในตำแหน่งใกล้มุมปากและแนวคาง ช่วยฟื้นฟูผิวส่วนล่างของใบหน้า ทำให้ผิวโดยรวมแน่นขึ้น เมื่อสารกระจายตัวจะช่วยให้ผิวดูเรียบและอิ่มน้ำมากขึ้น
  5. จุดข้างใบหู/หน้าแก้มด้านข้าง : อยู่บริเวณด้านหน้าของใบหู จุดนี้ช่วยให้สารบำรุงกระจายไปยังแก้มด้านข้างและกรอบหน้า ทำให้ผิวบริเวณนี้เรียบเนียนขึ้นและลดความแห้งกร้านจากแดด

นอกจากนี้ยังสามารถใช้เทคนิค Bio Aesthetic Points ฉีดบริเวณลำคอได้ด้วย โดยจะฉีดทั้งหมด 10 จุด โดยอิงจากกายวิภาคของลำคอส่วนหน้าและด้านข้าง เพื่อให้สกินบูสเตอร์กระจายตัวได้สม่ำเสมอ ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวคอแบบทั่วถึง ไม่เป็นปื้นหรือเป็นก้อนครับ


เทคนิค Bio Aesthetic Points กับ การฉีด Meso 16 จุดทั่วหน้า ต่างกันยังไง ?

เปรียบเทียบ Bio Aesthetic Points กับ ฉีดเมโส 16 จุด

เทคนิค Bio Aesthetic Points และการฉีด Meso 16 จุดทั่วหน้า เป็นวิธีฟื้นฟูผิวที่มีเทคนิค จุดประสงค์ วิธีการฉีด และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันครับ

คุณสมบัติBio Aesthetic Points (BAP)Meso 16 จุดทั่วหน้า
จุดที่ฉีด5 จุด/ข้าง (รวม 10 จุด)16 จุดทั่วใบหน้า
ระดับความเจ็บเจ็บน้อยกว่า เพราะฉีดไม่กี่จุดเจ็บกว่า เพราะฉีดหลายจุด
การกระจายของตัวยากระจายตัวกว้าง สม่ำเสมอทั่วหน้า โดยอาศัย Diffusion ตามกายวิภาคกระจายตัวเฉพาะบริเวณที่ฉีด อาจไม่สม่ำเสมอ
ชนิดตัวยาที่เหมาะProfhilo, PN/PDRN, Hybrid HA, สกินบูสเตอร์ HA เข้มข้นวิตามินผิว, HA โมเลกุลเล็ก, Meso หน้าใสทั่วไป
ผลลัพธ์ฟื้นฟูผิวเชิงลึก ผิวแน่นขึ้น ชุ่มน้ำทั่วหน้า ริ้วรอยเล็ก ๆ ดีขึ้นผิวฉ่ำน้ำระยะสั้น ใสขึ้นแบบชั่วคราว
ระยะเวลาผลลัพธ์อยู่ได้ 6-8 เดือน (ขึ้นกับยี่ห้อ)อยู่ประมาณ 1-2 เดือน
ระยะเวลาพักฟื้นไม่ต้องพักฟื้นไม่ต้องพักฟื้น แต่อาจมีรอยเข็มและรอยช้ำมากกว่า
เหมาะกับใครผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบทั่วหน้าและอยู่ได้นานผู้ที่ต้องการความใสแบบเร่งด่วนและชั่วคราว
เวลาในการทำรวดเร็ว เพราะฉีดไม่กี่จุดใช้เวลานานกว่า เนื่องจากต้องฉีดหลายตำแหน่ง
ตารางเปรียบเทียบ Bio Aesthetic Points กับ การฉีด Meso 16 จุดทั่วหน้า ต่างกันยังไง ?

ทั้งการฉีดแบบ BAP และ Meso 16 จุด เป็นเทคนิคที่ไม่มีอะไรผิดอะไรถูกครับ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมว่าใช้กับหัตถการอะไรมากกว่า อย่างเทคนิค BAP จะเหมาะกับสกินบูสเตอร์ที่ต้องการการกระจายตัวกว้าง เช่น Profhilo หรือ PN/PDRN ส่วน Meso 16 จุดเหมาะกับ HA โมเลกุลเล็กที่ต้องการกระจายบริเวณตื้นและกระจายเฉพาะจุด

ดังนั้น แพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าผิวของคนไข้ต้องการการฟื้นฟูระดับไหน ใช้สารชนิดใด และเทคนิคไหนให้ผลลัพธ์คุ้มค่าที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติครับ


ข้อดีของเทคนิค Bio Aesthetic Points

เทคนิค Bio Aesthetic Points ใช้เพียง 5 จุดต่อข้าง แต่มีข้อดีหลากหลายดังนี้

  • กระจายตัวยาได้ทั่วหน้าอย่างสม่ำเสมอ โดยจะไหลซึมในชั้นผิวเหมือนตาข่าย ทำให้ผิวฟื้นฟูทั่วหน้า
  • เจ็บน้อย ช้ำน้อย บวมน้อย ใช้เวลาทำน้อยกว่าแบบเดิม เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวแต่ไม่อยากพักฟื้นนาน
  • ปลอดภัยสูง เพราะเลี่ยงจุดที่อาจเกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้ เหมาะกับการฉีดสกินบูสเตอร์ทุกชนิด
  • แก้ได้ทุกปัญหาผิว ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นปุ่มนูนหรือก้อนใต้ผิว
  • เหมาะกับการฟื้นฟูผิวแบบ Bioremodeling ช่วยปรับโครงสร้างผิวจากด้านในได้ดี
  • เป็นเทคนิคที่มีงานวิจัยรองรับ ถูกพัฒนาจากการศึกษาเชิงกายวิภาคและ Paper ทางการแพทย์ในยุโรป เพื่อประเมินการกระจายตัวของสาร HA แบบ hybrid และสกินบูสเตอร์ในชั้นผิว จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลจริงในระดับสากล

เทคนิค Bio Aesthetic Points ใช้กับหัตถการอะไร ?

เปรียบเทียบ Profhilo กับ ฟิลเลอร์

Bio Aesthetic Points ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ฉีด Profhilo โดยเฉพาะครับ เพราะใช้ Hybrid HA แบบ Non-Crosslinked ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 32 mg/ml มากกว่า HA ทั่วไปในฟิลเลอร์ที่มีเพียง 20–28 mg/ml จึงต้องใช้เทคนิคการฉีดที่ช่วยให้ตัวยากระจายตัวสม่ำเสมอ และไม่ต้องใช้หลายเข็มเหมือนวิธีเดิมครับ

แม้เทคนิค BAP จะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อ Profhilo เป็นหลัก แต่ปัจจุบันแพทย์ได้นำไปประยุกต์ใช้กับ Skin booster ที่มี HA ความเข้มข้นสูง เช่น PN/PDRN หรือสกินบูสเตอร์ HA เข้มข้นที่ต้องการ Diffusion สูง เพื่อให้ยากระจายตัวได้ดีครับ

VSqare Tips (VSQ Tips)

Bio Aesthetic Points ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ โบท็อก หรือสารที่ต้องการคงตัวเฉพาะจุด เพราะหลักการของ BAP คือการให้ตัวยาแพร่กระจายทั่วผิว จึงเหมาะเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิวเป็นหลักครับ

ทำความรู้จัก Profhilo คืออะไร ?

Profhilo คืออะไร

Profhilo คือสกินบูสเตอร์กลุ่ม Collagen Biostimulator ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Hybrid Cooperative Complex (HCC) ที่รวม Hyaluronic Acid ทั้งสายสั้นและสายยาวเข้าด้วยกัน ช่วยทั้งกระตุ้นการสร้าง Collagen type 1, 3, 4,7 ช่วยฟื้นฟูผิวให้แน่น กระชับ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งต่างจากสกินบูสเตอร์ทั่วไปที่มักเน้นเพียงความชุ่มชื้นอย่างเดียวครับ

หลังฉีด Profhilo จะเริ่มเห็นผลใน 2 สัปดาห์ และเห็นผลชัดใน 1 เดือน ผิวจะอิ่มฟู ฉ่ำน้ำ ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง คุณภาพผิวโดยรวมดีขึ้น อยู่ได้นาน 6-8 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบไม่ต้องการเพิ่มปริมาตรใบหน้า และต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติครับ

ทำความรู้จัก Profhilo เพิ่มเติม คลิก!


เปรียบเทียบ Profhilo กับสกินบูสเตอร์กลุ่ม Collagen Biostimulator ยี่ห้ออื่น ๆ

รวมงานผิว Biostimulator ตัวช่วยผิวสวย
เปรียบเทียบ Profhilo กับ Collagen Biostimulator ยี่ห้ออื่น ๆ

ปัจจุบันการฟื้นฟูผิวชั้นลึกไม่ได้มีแค่ Profhilo เพียงตัวเดียวครับ แต่ยังมีกลุ่ม Collagen Biostimulator อีกหลายยี่ห้อที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับคุณภาพผิว แตกต่างกันที่ชนิดสาร ตำแหน่งการฉีด และผลลัพธ์ที่ได้

Sculptra

Sculptra เป็นสารกลุ่ม PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ทำหน้าที่เป็น Collagen Biostimulator โดยตรง ไม่ได้เพิ่มปริมาตรทันทีเหมือนฟิลเลอร์ แต่จะค่อย ๆ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ฉีดได้ทั้งใบหน้าและ Sculptra Body ครับ

  • เหมาะกับคนที่ต้องการปรับโครงสร้างผิวให้แน่นและยกขึ้นในระยะยาว
  • มักใช้กับใบหน้า แก้ม ขมับ หรือส่วนที่เริ่มตอบ ผิวหลวม
  • ไม่เห็นผลลัพธ์ทันที แต่ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามคอลลาเจนที่สร้างเพิ่ม

ต่างจาก Profhilo ยังไง ?

Profhilo ช่วยให้ผิวฟู ฉ่ำน้ำ คุณภาพผิวดีขึ้นทั่วหน้า ชัดเจนในช่วง 2-4 สัปดาห์ ขณะที่ Sculptra จะช่วยให้โครงสร้างผิวแน่นขึ้น ยกเล็กน้อยในระยะยาวมากกว่า และมีความเป็น Biostimulator ชัดเจนกว่าเรื่อง Volume Support เล็กน้อยครับ

อ่านบทความเพิ่มเติม : Sculptra VS Rejuran เหมือนและต่างกันอย่างไร ? ฉีดตัวไหนผลลัพธ์ดีกว่า ?

HArmonyCa

HArmonyCa เป็น Hybrid Filler ที่รวม HA (Hyaluronic Acid) กับ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) เข้าด้วยกัน ให้ผลลัพธ์ 2 in 1 ทั้งเติมเต็มร่องลึก พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์แบบยาวนาน ผิวฟู หน้าแน่นขึ้น

  • HA ให้ Volume และความฟูทันที
  • CaHA กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยให้หน้ายกกระชับ หน้าเด็กลง ผิวแน่นขึ้นในระยะยาว
  • เหมาะกับการยก Midface เช่น หน้าแก้ม ร่องแก้ม และกรอบหน้า

ต่างจาก Profhilo ยังไง ?

Profhilo ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิว ไม่เน้นปรับรูปหน้า ส่วน HArmonyCa ช่วยทั้งเติมเต็มร่องลึก + กระตุ้นคอลลาเจน เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าและกระตุ้นคอลลาเจนไปพร้อมกันครับ

Juvelook

Juvelook เป็นสกินบูสเตอร์ที่ผสม Polylactic Acid (PLA) กับ Hyaluronic Acid เข้าด้วยกัน ออกแบบมาเพื่อใช้ทั้งในผิวหน้าและบริเวณรอบดวงตา เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน แก้ใบหน้าหมองคล้ำ ปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสอย่างสม่ำเสมอครับ

  • ช่วยให้ผิวละเอียดขึ้น รูขุมขนเล็กลง และรอยสิวตื้นขึ้นในบางเคส
  • มีความเป็นกลางระหว่าง Skin booster กับ Biostimulator
  • เน้นปรับ texture ผิวและความเรียบเนียน

ต่างจาก Profhilo ยังไง ?

Profhilo เน้นคุณภาพผิวในภาพรวม ชุ่มชื้น ยืดหยุ่น ดูฉ่ำ ส่วน Juvelook จะปรับผิวเนียนกระจ่างใส กระชับรูขุมขน ลดรอยสิวมากกว่า เหมาะกับคนที่อยากแก้ Texture ผิวเป็นหลักครับ

อ่านบทความเพิ่มเติม : Juvelook VS Sculptra เปรียบเทียบ 2 งานผิวตัวดัง ต่างกันอย่างไร ? ทำอันไหนดี ?

Radiesse

Radiesse เป็น Biostimulator ที่ใช้สาร Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งทำหน้าที่ทั้งเป็น Filler ช่วยเติม Volume และกระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูถึงโครงสร้างผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ดูสุขภาพดี และยืดอายุผิวที่ดีได้ยาวนาน

  • เหมาะกับการยกกรอบหน้า เติมขมับ ร่องแก้ม คาง และแนวกราม
  • ทำให้ใบหน้าดูคมชัดขึ้น พร้อมผิวแน่นขึ้นจากคอลลาเจนใหม่
  • มักใช้ในชั้นลึก ไม่ใช่ในชั้นผิวตื้นเหมือนสกินบูสเตอร์ทั่วไป

ต่างจาก Profhilo ยังไง ?

Profhilo ไม่ได้เติม Volume แต่ปรับคุณภาพผิวเป็นหลัก ขณะที่ Radiesse เติม Volume + กระตุ้นคอลลาเจน ให้อารมณ์ ปรับโครงสร้างใบหน้าและยกผิวมากกว่าหน้าใสฉ่ำน้ำแบบ Profhilo ครับ

อ่านบทความเพิ่มเติม : Sculptra VS Radiesse เจาะลึก 2 งานผิวยอดนิยม ผลลัพธ์นาน 2 ปี แตกต่างกันอย่างไร ?

Ultracol

Ultracol เป็น Collagen Biostimulator ที่ใช้ PDO (Polydioxanone) Microspheres มาปรับโมเลกุลให้มีขนาดเล็กลงมาก ๆ เพื่อใช้สำหรับการฉีด จึงนิยมเรียกว่าไหมน้ำเหมือนกับ Gouri ครับ ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของชั้นผิว ทำให้ผิวกระชับ และเต่งตึงขึ้น

  • เหมาะสำหรับการกระตุ้นคอลลาเจนในบริเวณที่ต้องการความแน่น เช่น แก้ม กรอบหน้า หรือบางจุดบนใบหน้าและลำตัว
  • ค่อย ๆ เห็นผลชัดใน 4 สัปดาห์
  • เหมาะกับเคสที่ผิวเริ่มบาง หย่อน และมี Volume หายไปบางส่วน

ต่างจาก Profhilo ยังไง ?

Profhilo เน้น Quality + Hydration ผิว ส่วน Ultracol เน้น Collagen Remodeling + Firmness ฟื้นฟูโครงสร้างผิวมากกว่าปรับผิวฉ่ำใสแบบสกินบูสเตอร์ครับ

Neauvia Hydro Deluxe

Neauvia Hydro Deluxe เป็นสกินบูสเตอร์ที่ใช้ HA ความเข้มข้นค่อนข้างสูง ผสมกับสารกระตุ้นผิว Calcium Hydroxyapatite หรือ CaHA (0.01%) และ L-Proline กับ Glycine ที่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใส ลดริ้วรอยตื้น กระชับรูขุมขน ผิวฉ่ำวาว Glass Skin สุขภาพดี ไม่บวมหลังฉีด

  • ช่วยให้ผิวชุ่มน้ำ พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนบางส่วน
  • เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ทั้งผิวชุ่มน้ำ + ผิวแน่นขึ้นเล็กน้อย
  • มักใช้ในโปรแกรม Skin Quality Improvement เช่นเดียวกับ Profhilo

ต่างจาก Profhilo ยังไง ?

Profhilo ใช้ Hybrid HA ที่มีความเข้มข้นสูง เป็น Ioremodeling โดยตรง ส่วน Neauvia Hydro Deluxe จะอยู่กึ่งกลางระหว่าง Skin booster + Collagen Stimulant แต่ความเป็น Biostimulator อาจไม่ชัดเท่า Profhilo หรือกลุ่ม PCL/PLLA ครับ

VSqare Tips (VSQ Tips)

ไม่มีตัวไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่ละตัวมีจุดเด่นและความจุดเหมาะสมต่างกัน แพทย์ต้องประเมินจากผิว อายุ ปัญหาหลัก และผลลัพธ์ที่คนไข้ต้องการ เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์และเทคนิคการฉีดที่ให้ผลลัพธ์ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุดครับ


ขั้นตอนการฉีด Bio Aesthetic Points

Bio Aesthetic Points จะฉีดตำแหน่งตามกายวิภาค 5 จุด/ข้าง เพื่อให้ตัวยากระจายตัวได้สม่ำเสมอทั่วใบหน้า ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาไม่นาน เจ็บน้อย และปลอดภัย โดยขั้นตอนการทำมีดังนี้ครับ

  1. แพทย์ตรวจสภาพผิว ความหย่อนคล้อย คุณภาพผิว เพื่อกำหนดว่าควรใช้ Profhilo หรือสกินบูสเตอร์ประเภทใดร่วมกับเทคนิค BAP
  2. ทำความสะอาดใบหน้าเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ และทายาชาเพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีด (บางเคสแทบไม่ต้องใช้เพราะฉีดไม่กี่จุด)
  3. แพทย์ฉีดแต่ละจุดด้วยปริมาณตัวยาที่กำหนด เพื่อให้ตัวยากระจายตัวตามโครงสร้างผิว ลดโอกาสเป็นก้อน ช้ำ หรือบวม
  4. แพทย์ประเมินการกระจายตัวบริเวณรอบจุดฉีด พร้อมแนะนำการดูแลหลังทำ เช่น หลีกเลี่ยงการจับหน้า นวดหน้า หรือออกกำลังกายหนักช่วง 24 ชั่วโมงแรก
  5. นัดติดตามผลภายใน 1-2 สัปดาห์ และชัดขึ้นใน 4 สัปดาห์ อาจมีการนัดทำซ้ำตามโปรแกรม เช่น 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือนในกรณีของ Profhilo

ผลข้างเคียงหลังฉีดด้วยเทคนิค Bio Aesthetic Points

เทคนิค Bio Aesthetic Points (BAP) มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงมักเล็กน้อยและหายเองภายใน 1-2 วัน เช่น

  • รอยปูดเล็ก ๆ จากตัวยา (ยุบในไม่กี่ชั่วโมง)
  • รอยแดงหรือรอยเข็ม
  • อาการตึงผิวหรือบวมเล็กน้อย
  • รอยช้ำในบางราย (พบไม่บ่อย)

อาการรุนแรง เช่น ปวดมาก ผิวซีดหรือคล้ำผิดปกติ พบได้น้อยหากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ครับ


ทำไมการฉีด Bio Aesthetic Points ต้องทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ?

เทคนิค Bio Aesthetic Points แม้ปลอดภัยกว่าวิธีฉีดหลายเข็ม แต่ก็ยังต้องอาศัยความแม่นยำด้านกายวิภาค ความชำนาญในการประเมินผิว และเทคนิคเฉพาะของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากการฉีดให้มากที่สุด

การฉีด BAP โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์จึงสำคัญด้วยเหตุผลต่อไปนี้ครับ

  • แพทย์ต้องรู้ระดับผิว เส้นเลือด และรู้ว่าจุดไหนต้องฉีดลึก-ตื้นแค่ไหน เพื่อป้องกันการช้ำหรือเป็นก้อน
  • แพทย์จะรู้วิธีปรับเทคนิคให้เข้ากับแต่ละคน เพื่อให้กระจายตัวดีและเห็นผลเร็ว
  • แพทย์ต้องเลือกให้เหมาะกับปัญหา เช่น ลดริ้วรอย ผิวแห้ง ผิวหย่อน หรือผิวไม่สดใส เพราะสกินบูสเตอร์แต่ละชนิด ออกฤทธิ์ไม่เหมือนกัน
  • หากฉีดผิดตำแหน่ง แพทย์จะรู้วิธีป้องกันและแก้ไขทันที
  • แพทย์จะรู้ว่าต้องฉีดแบบไหน เพื่อให้ผิวหน้าเรียบเนียนทั่วทั้งใบหน้า ไม่เกิดจุดที่ฟูหรือแห้งไม่เท่ากัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Bio Aesthetic Points

เทคนิคฉีดแบบ Bio Aesthetic Points เจ็บไหม ?

เจ็บน้อยกว่าการฉีดแบบ meso ทั่วหน้าครับ เพราะฉีดเพียง 5 จุด/ข้าง และส่วนใหญ่มีการทายาชาก่อนฉีด ทำให้รู้สึกเพียงตึง ๆ เล็กน้อยเท่านั้นครับ

หลังฉีดจะมีรอยปูดหรือเป็นตุ่มไหม ?

อาจมีตุ่มเล็กๆ ตามตำแหน่งที่ฉีด แต่จะยุบเองใน 4-5 ชั่วโมง เพราะเป็นรอยปริมาตรของตัวยา ไม่ใช่อาการผิดปกติครับ

เทคนิค Bio Aesthetic Points ฉีดได้ทั้งใบหน้าและคอไหม ?

ได้ครับ เทคนิค BAP ใช้กับใบหน้า 5 จุด/ข้าง และลำคอ 10 จุด เพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิวทั่วบริเวณที่มักมีความหย่อนคล้อยหรือริ้วรอย

เทคนิค Bio Aesthetic Points คนผิวบาง ผิวแพ้ง่าย ทำได้ไหม ?

ทำได้ครับ เพราะตำแหน่ง BAP ถูกออกแบบมาให้เลี่ยงเส้นเลือดใหญ่ ลดรอยช้ำ และเหมาะกับผิวทุกประเภท แม้ผิวบางหรือผิวแพ้ง่าย

เทคนิค Bio Aesthetic Points ใช้กับโบท็อกได้ไหม ?

ไม่ได้ใช้ร่วมกันในจุดฉีดเดียวกัน แต่สามารถทำโบท็อกในบริเวณอื่นในช่วงใกล้เคียงได้ แพทย์จะประเมินเวลาให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลครับ


สรุป Bio Aesthetic Points ดีไหม ?

Bio Aesthetic Points (BAP) เป็นเทคนิคที่ใช้จุดฉีดน้อย เจ็บน้อย แต่กระจายตัวยาได้ทั่วหน้าอย่างสม่ำเสมอ นิยมใช้กับ Profhilo และสกินบูสเตอร์กลุ่ม Biostimulator ที่ต้องการการแพร่กระจายลึกในชั้นผิว เหมาะกับคนที่ต้องการผิวดีขึ้นแบบทั่วหน้ามากกว่าการเติมปริมาตรใบหน้าครับ

หากต้องการประเมินว่าเทคนิคนี้เหมาะกับผิวคนไข้ไหม สามารถนัดปรึกษาแพทย์โดยตรงได้ที่ V Square Clinic ทุกสาขา ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ
ปรึกษาหมอ
บทความแนะนำ

เลเซอร์ปากคล้ำ คืออะไร ? ช่วยให้ปากชมพูขึ้นจริงไหม ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้ถาวรไหม ? ราคาเท่าไหร่ ?

Reading Time: 4 minutesเลเซอร์ปากคล้ำ เป็นวิธีแก้ปัญหาปากคล้ำ ปากดำด้วยการลดเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่บริเวณริมฝีปาก หลังทำจะช่วยให้สีปากค่อย ๆ สว่างขึ้น ดูอมชมพูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องสัก ไม่ต้องใช้สีสังเคราะห์ ไม่ต้องพักฟื้น และไม่เจ็บตัวมากครับ ในบทความนี้หมอจะสรุปข้อควรรู้ก่อนทำเลเซอร์ เปรียบเทียบกับการสักปาก พร้อมตอบคำถามที่หลายคนสงสัย

December 22, 2025 อ่านต่อ

Thermage FLX ราคาเท่าไร เช็กราคาแต่ละตำแหน่ง พร้อมอัปเดตโ...

Reading Time: 3 minutesThermage FLX ราคาขึ้นอยู่กับจำนวน Shot ที่ใช้ครับ ซึ่งหมอจะประเมินจากบริเวณที่ทำและระดับปัญหาผิวของแต่ละคน เช่น ทำ Thermage FLX 900 Shot ราคาประมาณ 60,000 บาท สามารถยกได้ทั่วใบหน้า แต่ถ้าเป็นพื้นที่กว้าง หรือหลายตำแหน่ง ราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนช็อตที่ใช้ครับ

11 วิธีหน้าเนียนใส ทำเองง่าย ๆ และหัตถการที่เห็นผลไว

Reading Time: 6 minutesหน้าเนียนเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ เพราะช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี แต่งหน้าติดง่าย และดูอ่อนเยาว์ครับ แต่ปัญหาที่พบบ่อยคือผิวไม่เรียบ รูขุมขนกว้าง เป็นสิว มีแผลเป็นจากสิว หรือผิวหมองคล้ำ ในบทความนี้หมอสรุปให้ว่า อยากหน้าเนียนต้องทำอย่างไร ? ตั้งแต่การดูแลผิวด้วยตัวเองที่ทำได้ทุกวัน ไปจนถึงหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยให้เห็นผลไวและปลอดภัย

YAG Laser ราคาเท่าไหร่ ? แชร์ทริคเลือกคอร์สอย่างไร ? ให้ค...

Reading Time: 5 minutesYAG Laser ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 500.-/ครั้งครับ แต่บางคลินิกก็มีราคาที่ถูกกว่านี้หรือสูงกว่านี้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งชนิดเครื่อง คุณภาพการยิง และผู้เชี่ยวชาญที่ดูแล โปรแกรมนี้ถือเป็นหนึ่งในหัตถการกำจัดขนที่ได้รับความนิยมมาก เพราะทำได้หลายตำแหน่งตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็น รักแร้ หนวด เครา แขน ขา หรือจุดซ่อนเร้น

Gentle YAG Laser คืออะไร ? ทำงานอย่างไร ? เหมาะกับใครบ้าง ?

Reading Time: 4 minutesGentle YAG คือเลเซอร์ Nd:YAG 1064 nm ที่ถูกออกแบบมาเพื่อกำจัดขนอย่างอ่อนโยน โดยเฉพาะผิวแทน-ผิวคล้ำ เพราะมีระบบทำความเย็น Dynamic Cooling Device (DCD) ที่ช่วยลดการระคายเคืองและลดความเสี่ยงผิวไหม้ บทความนี้หมอจะอธิบายข้อดี ข้อจำกัด กลไกทางการแพทย์ และเปรียบเทียบกับ Nd:YAG รุ่นใหม่ ๆ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ สามารถศึกษานโยบายความเป็นส่วนตัวและจัดการความเป็นส่วนตัว ได้ที่ปุ่มตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า