รวมวิธีรักษาสิวฉบับแพทย์
ปัญหาผิวที่พบได้มากที่สุดทั้งในเพศหญิง เพศชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น คือ “ปัญหาสิว” ครับ ทั้งสิวอุดตัน สิวผด สิวอักเสบ หรืออย่างรุนแรงคือสิวหัวช้าง สิวซีสต์ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ อาจทำให้สิวรุนแรงขึ้นและทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวถาวรได้
ในบทความนี้ หมอจะอธิบายตั้งแต่สาเหตุของการเกิดสิว เป็นสิวใช้อะไรดี ? การรักษาสิวให้ถูกวิธี ทำได้อย่างไรบ้าง ? วิธีรักษาสิวด้วยตนเอง วิธีรักษาสิวด้วยยา วิธีรักษาสิวด้วยหัตถการและเครื่องมือแพทย์ วิธีไหนเห็นผลเร็วที่สุด สิวหายถาวร รวมถึงการรักษารอยดำ รอยแดง หลุมสิว และการดูแลผิวไม่ให้กลับมาเป็นสิวซ้ำอีก หมอได้รวบรวมไว้ในบทความนี้แล้วครับ
สารบัญ วิธีรักษาสิว
สาเหตุการเกิดสิว

สิวเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามปกติของร่างกาย สภาวะแวดล้อม พฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงสุขอนามัยของแต่ละบุคคล ทำให้เกิดสิวในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งบนใบหน้า หลัง หน้าอก หรือแม้แต่ลำตัว
หมอสรุปสาเหตุหลัก ๆ ของการเกิดสิวที่พบบ่อยได้ดังนี้ครับ
- สิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน Androgen จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้หน้ามัน
รูขุมขนอุดตัน ส่วนในเพศหญิงฮอร์โมน Progesterone ที่เพิ่มขึ้นช่วงก่อนมีประจำเดือน ทำให้สิวเห่อได้ง่าย - เครื่องสำอางและครีมที่อุดตันรูขุมขน ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหรือไม่ล้างออกหมดอาจทำให้เกิดสิวอุดตันได้ง่าย ควรเลือกชนิด Oil-free, Water-based, และ Non-comedogenic เพื่อป้องกันสิวจากเครื่องสำอางครับ
- การรับประทานอาหาร บางชนิด เช่น ของทอด ของมัน หรือของหวาน อาจกระตุ้นให้สิวขึ้นง่าย แม้ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน แนะนำสังเกตตัวเองและหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้สิวเห่อบ่อยครับ
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น นอนดึก เครียด สูบบุหรี่ หรือไม่ล้างหน้าก่อนนอน ล้วนกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน Cortisol และ Androgen เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวมันและเกิดสิวอักเสบได้ง่าย
- มลภาวะและหน้ากากอนามัย ฝุ่น ควัน และความอับชื้นจากหน้ากากอนามัยทำให้รูขุมขนอุดตันและแบคทีเรียเจริญได้ดี เกิดสิวได้ง่าย โดยเฉพาะในคนผิวแพ้ง่าย ควรล้างหน้าให้สะอาดและเปลี่ยนหน้ากากบ่อย ๆ
- ภาวะแอนโดรเจนเกิน (Hyperandrogenism) คือภาวะที่ร่างกายสร้างฮอร์โมน Androgen มากเกินไป ทำให้ผิวมัน สิวเห่อรุนแรง มักพบร่วมกับขนดก ผมร่วง หรือประจำเดือนผิดปกติ เช่นในโรค PCOS หรือความผิดปกติของต่อมหมวกไต
อ่านบทความเพิ่มเติม : สิวเกิดจากอะไร รู้จักสิวให้มากขึ้น วิธีทำให้สิวหายขาด ป้องกันปัญหาสิวใหม่
ประเภทของสิว มีกี่แบบ ?
สิวแต่ละชนิดมีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกันครับ การรู้ว่าเราเป็นสิวประเภทไหนจะช่วยให้เลือกแนวทางการรักษาได้ตรงจุดมากขึ้น หมอสรุปประเภทของสิวที่พบบ่อยไว้ดังนี้ครับ
- สิวอุดตัน (Comedonal acne) เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน แบ่งเป็น 2 แบบคือ สิวหัวเปิด (สิวหัวดำ) และสิวหัวปิด (สิวหัวขาว) มักเกิดบริเวณหน้าผาก จมูก และคาง
- สิวไม่มีหัว (Blind acne) เป็นสิวที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง ไม่มีหัวสิวให้เห็นชัด มักเป็นก้อนนูนแดง เกิดจากการอุดตันและอักเสบลึกในรูขุมขน มักพบที่คางหรือกราม ควรหลีกเลี่ยงการบีบ เพราะอาจอักเสบลุกลามเป็นสิวหัวช้างได้
- สิวอักเสบ (Inflammatory acne) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes ภายในสิวอุดตัน ทำให้เกิดอาการแดง บวม เจ็บ แบ่งเป็นสิวตุ่มแดง สิวหัวหนอง และสิวหัวช้าง
- สิวผด (Miliaria / Acne aestivalis) ลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ แดง หรือใส มักเกิดจากความร้อน เหงื่อ หรือการแพ้ผลิตภัณฑ์บางชนิด พบมากในคนที่ออกกำลังกายหรืออยู่ในที่อับชื้น
- สิวฮอร์โมน (Hormonal acne) มักขึ้นบริเวณคาง กรอบหน้า หรือช่วงก่อนมีประจำเดือน เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง (Progesterone) ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากผิดปกติ
- สิวหัวช้าง / สิวซีสต์ (Cystic acne) เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรง มีขนาดใหญ่และลึกใต้ผิว เจ็บมาก มักทิ้งรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวตามมา ต้องรักษาโดยแพทย์เท่านั้นครับ
- สิวหิน สิวข้าวสาร (Milia) เกิดจากการอุดตันของเคราตินใต้ผิวหนัง เป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาว ไม่เจ็บ ไม่อักเสบ มักขึ้นบริเวณรอบดวงตา แก้ม หรือจมูก ไม่สามารถบีบออกเองได้ เพราะไม่มีรูเปิด ต้องใช้เข็มหรือเลเซอร์เจาะออก
- สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa) เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่มีเส้นขนจำนวนมากอยู่รวมกัน มักเห็นเป็นจุดดำเล็ก ๆ โดยเฉพาะบริเวณจมูก คาง หรือแก้มข้างจมูก พบมากในคนที่มีผิวมันและต่อมไขมันทำงานมาก
สิวมีหลายชนิดและหลายสาเหตุ การรักษาที่ได้ผลต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ให้ได้ก่อนว่าสิวที่เป็นอยู่คือสิวประเภทไหน เพื่อให้หมอสามารถเลือกแนวทางรักษาที่ปลอดภัยและเห็นผลเร็วที่สุดครับ
สิวขึ้นตรงไหน บ่งบอกอะไร ?
ตำแหน่งที่สิวขึ้นสามารถบอกถึงพฤติกรรม สุขภาพ หรือปัจจัยที่กระตุ้นสิวได้ครับ ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า Face Mapping เป็นแนวทางในการประเมินต้นเหตุของสิวจากตำแหน่งบนใบหน้า
- สิวขึ้นหน้าผาก มักเกิดจากความมัน เหงื่อ หรือการนอนดึก รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์เส้นผมที่อุดตันรูขุมขน
- สิวขึ้นที่ปาก เกิดจากการระคายเคืองจากยาสีฟันหรือลิปสติก รวมถึงพฤติกรรมกินอาหารมัน เผ็ด หรือของทอด
- สิวขึ้นแก้ม มักเกี่ยวข้องกับการสัมผัสหน้า เช่น โทรศัพท์สกปรก หน้ากากอนามัย หรือปลอกหมอนไม่สะอาด
- สิวขึ้นคาง / กรอบหน้า มักเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงก่อนมีประจำเดือน
- สิวขึ้นจมูก เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน และอาจเกี่ยวข้องกับระบบการย่อยอาหารหรือความเครียด
- สิวขึ้นคอ พบในผู้ที่มีเหงื่อมากหรือสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น อาจเกิดจากการเสียดสีและการสะสมของแบคทีเรีย
- สิวที่หลัง มักเกิดจากเหงื่อและความอับชื้น โดยเฉพาะในคนที่ออกกำลังกายบ่อยหรือใส่เสื้อรัดแน่น
- สิวขึ้นขมับ / ไรผม เกิดจากน้ำมันจากเส้นผม หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เช่น สเปรย์ เจล ทำให้รูขุมขนอุดตัน
สิวแต่ละตำแหน่งมักมีสาเหตุเฉพาะ การสังเกตบริเวณที่สิวขึ้นช่วยให้เราปรับพฤติกรรมได้ตรงจุด เช่น ล้างหน้าสม่ำเสมอ เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยขึ้น หรือหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว เพื่อให้การรักษาเห็นผลเร็วและป้องกันสิวซ้ำครับ
รักษาสิวด้วยตัวเองได้ไหม ?
การรักษาสิวด้วยตัวเอง สามารถทำได้ครับ แต่จะต้องเป็นสิวที่อยู่ในระยะไม่รุนแรงและรักษาด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะหากรักษาไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดสิวอักเสบรุนแรงขึ้นหรือทิ้งรอยแผลเป็น หลุมสิวถาวรได้ครับ
รวม 14 วิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง
วิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง มีหลายวิธีมากครับ หากสิวยังไม่รุนแรงมาก โดยมุ่งเน้นการลดการอักเสบ ลดรอยสิว และป้องกันสิวใหม่ไม่ให้เกิดขึ้น หมอแนะนำ วิธีทำให้หน้าใสไร้สิว ดังนี้
1. งดแคะ แกะ เกา หรือบีบสิว
บีบสิวได้ไหม ? การบีบหรือแกะสิวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบ ติดเชื้อ และเกิดรอยแดง หลุมสิวในภายหลัง ควรปล่อยให้สิวแห้งตามธรรมชาติและใช้ยารักษาแทนครับ
2. ล้างหน้าให้สะอาด
ล้างหน้าอย่างอ่อนโยนวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีความเป็นด่าง เพราะจะทำให้ผิวแห้งและกระตุ้นการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น
3. ใช้สกินแคร์สูตรอ่อนโยน
เลือกผลิตภัณฑ์ที่ ไม่มีน้ำมัน (Oil-free) และ ไม่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic) เพื่อช่วยปรับสมดุลผิว ลดสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้ผิวมัน
4. ใช้สกินแคร์ที่มีสารต้านสิว
เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid, Benzoyl Peroxide, หรือ Tea tree oil ซึ่งช่วยละลายสิวอุดตัน ลดแบคทีเรีย และลดการอักเสบของผิว
5. ทาครีมกันแดด
แสงแดดกระตุ้นต่อมไขมันและการอักเสบ ควรใช้ครีมกันแดดสูตร Non-Comedogenic, คุมมัน ไม่อุดตันผิว เพื่อปกป้องผิวและลดสิวจากรังสียูวี
6. ทาครีมลดรอยสิว
เลือกครีมที่มีส่วนผสมของ Vitamin C, Niacinamide, Arbutin, Ceramide เพื่อช่วยให้รอยสิวดูจางลงและฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนขึ้น
7. งดแต่งหน้า (ถ้าเป็นไปได้)
การแต่งหน้าในช่วงเป็นสิวอาจอุดตันรูขุมขน ควรงดชั่วคราว หากจำเป็นต้องแต่ง ควรเลือกเครื่องสำอางสูตรอ่อนโยนและล้างออกให้สะอาดทุกครั้ง
8. มาสก์หน้าลดสิว
เลือกมาสก์ที่มีส่วนผสมช่วยปลอบประโลมผิว เช่น ว่านหางจระเข้หรือทีทรีออยล์ ช่วยลดการระคายเคือง ดูดซับสิ่งสกปรก และให้ความชุ่มชื้น
9. ใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
ว่านหางจระเข้ หอมแดง ไข่ขาว มะนาว มะละกอ และมะเขือเทศ ช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น แต่ผลลัพธ์แตกต่างกันในแต่ละคน ควรทดสอบก่อนใช้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายครับ
10. สครับหน้าลดรอยสิว
สครับหน้าช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดรอยดำ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เลือกสครับที่มีสารให้ความชุ่มชื้น และหลีกเลี่ยงการขัดแรงหรือบ่อยเกินไปครับ
11. งดน้ำตาลและอาหารกระตุ้นสิว
อาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือดัชนีน้ำตาล (GI) สูง เช่น ของหวาน เครื่องดื่มชูกำลัง หรือผลิตภัณฑ์นม อาจกระตุ้นสิวได้ ควรหลีกเลี่ยงในช่วงรักษาสิวครับ
12. รับประทานอาหารที่ดีต่อผิว
เลือกอาหารที่มีไฟเบอร์สูงและไขมันดี เช่น ธัญพืช ผักใบเขียว ปลาแซลมอน และถั่วต่าง ๆ ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8–9 แก้ว เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
13. ปรับพฤติกรรมเสริม เพื่อช่วยลดสิว
- นอนหลับให้เพียงพอ ช่วยควบคุมฮอร์โมน ลดความเครียด และฟื้นฟูผิว
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดการอุดตันของรูขุมขน
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะส่งผลต่อฮอร์โมนและการอักเสบของผิว
14. การรักษาสิวด้วยยา (ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์)
- ยาทาเฉพาะที่ เช่น Benzoyl Peroxide, Retinoid, Salicylic acid ช่วยลดการอักเสบ ผลัดเซลล์ผิว ลดสิวผด สิวไม่มีหัว
- ยาทานสำหรับสิวอักเสบปานกลาง-รุนแรง เช่น ยาปฏิชีวนะ (Tetracycline, Macrolide) ยาคุมฮอร์โมน หรือ Isotretinoin ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ในการทายารักษาสิว แพทย์จะแนะนำให้ทายาบาง ๆ บริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ต่อเนื่อง 6-8 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลการรักษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป วิธีนี้ทำได้ง่าย ไม่เจ็บตัว แต่ควรระวังการระคายเคือง แดง แห้ง หรือลอกผิว โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น ควรเริ่มจากปริมาณน้อยและเพิ่มตามความเหมาะสมครับ
❗ ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ ยาปฏิชีวนะเพียงอย่างเดียวเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะ ดื้อยาได้ หากมีอาการระคายเคืองมาก ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ทันที
รวม 14 วิธีรักษาสิวเร่งด่วน ด้วยหัตถการทางการแพทย์
สิวอักเสบ สิวหัวช้าง หรือสิวเรื้อรังที่รักษาด้วยตนเองแล้วไม่ดีขึ้น อาจต้องใช้หัตถการทางการแพทย์เข้ามาช่วยครับ ซึ่งหมอได้รวบรวมวิธีรักษาสิวเร่งด่วนที่นิยมใช้ในคลินิกความงามมาให้ดังนี้
1. กดสิว (Comedone Extraction)
การกดสิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอุดตันและสิวหัวดำ โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือปลอดเชื้อเปิดหัวสิวและนำสิวออกอย่างถูกวิธี เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขนและป้องกันสิวอักเสบในอนาคต ข้อดีคือ เห็นผลทันทีหลังทำ ไม่ทิ้งรอยแผล และลดโอกาสเกิดสิวซ้ำครับ
2. ฉีดสิว (Acne Injection)
การฉีดสิวเป็นวิธีรักษาสิวอักเสบแบบเร่งด่วนโดยการใช้ตัวยา Triamcinolone ฉีดตรงหัวสิวอักเสบ ช่วยให้สิวยุบไวภายใน 24-48 ชั่วโมง ลดอาการบวม แดง และป้องกันการทิ้งรอยสิว เหมาะสำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่ หรือสิวที่เจ็บ กดแล้วไม่ยุบเองครับ
3. ทรีตเมนต์ลดสิว (Acne Treatment)
ทรีตเมนต์ลดสิว เป็นการทำความสะอาดรูขุมขนอย่างล้ำลึก ควบคุมความมัน และผลัดเซลล์ผิวที่อุดตัน ช่วยลดสิวอุดตันและสิวอักเสบ เหมาะสำหรับคนที่เป็นสิวบ่อย ผิวมัน หรือผิวอุดตันง่าย
4. การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling)
การผลัดเซลล์ผิว เป็นการใช้กรดผลไม้ เช่น AHA, BHA หรือ Salicylic Acid ในความเข้มข้นที่เหมาะสมกับผิว เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่อุดตันรูขุมขน ลดรอยสิว รอยดำ และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนและใสขึ้น
5. เลเซอร์วีบีม (V beam Pulse dye laser)
เครื่องเลเซอร์แบบ V beam จะเด่นในเรื่องลดรอยแดงจากสิว โดยการส่งความร้อนลงไปยังชั้นผิวหนัง ทำให้เส้นเลือดที่ผิดปกติใต้ผิวหนังถูกทำลาย เกิดการจัดเรียงตัวของเส้นเลือดใต้ผิวหนังใหม่ และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน รอยแดงจึงดูลดลงได้ครับ
6. เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ CO2
CO₂ Laser ใช้พลังงานความร้อนจากเลเซอร์ความยาวคลื่น 10,600 nm เพื่อกรอผิวหรือตัดเฉพาะจุด เพื่อทำให้ผิวเก่าหลุดออกและกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นหนังแท้ ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้น เหมาะกับการจี้ไฝ กระ ขี้แมลงวัน ติ่งเนื้อ เลเซอร์สิวอุดตัน หรือหลุมสิวลึก หลังทำอาจมีสะเก็ดเล็กน้อย 5-7 วัน
7. การฉีดเมโสหน้าใส/เมโสสิว
การฉีดเมโสหน้าใสคือการนำวิตามินและสารบำรุงเข้าสู่ผิวโดยตรง ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน เห็นผลไวกว่าการทาครีม เพราะตัวยาถูกส่งตรงถึงชั้นผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น แข็งแรงขึ้น แก้ไขปัญหาหน้าโทรม นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยดำ รอยแดงจากสิวให้ดูจางลง ลดรูขุมขนกว้างได้ครับ
หลังฉีดประมาณ 3 วัน ผิวจะดูใสขึ้น แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้งในเดือนแรก และเว้นเป็น 2-3 ครั้งต่อเดือนในระยะต่อมา เพื่อคงผลลัพธ์ให้ผิวแข็งแรงสุขภาพดี
เมโสหน้าใสยี่ห้อที่ได้รับความนิยมได้แก่
- มาเด้คอลลาเจน
- Filorga (NCTF 135 HA)
- REVS (NCFS)
- Tensonez
- Neoclear
- Neoderm
8. การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว (Filler for Acne Scars)
สำหรับผู้ที่มีหลุมสิวลึก การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวช่วยเติมเต็มรอยหลุมให้ตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้นทันทีหลังทำ
โดยใช้สาร Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งช่วยอุ้มน้ำและกระตุ้นคอลลาเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร็ว ไม่ต้องพักฟื้น แต่ควรให้แพทย์ประเมินก่อน เนื่องจากฟิลเลอร์อาจไม่เหมาะกับหลุมสิวทุกประเภทครับ
9. ทำ Bellalux ฉายแสง LED ลดสิว
Bellalux LED เป็นเทคโนโลยีฉายแสงความเข้มข้นต่ำ (Low-Level Light Therapy) ที่ช่วยฟื้นฟูผิว ลดสิว และกระตุ้นคอลลาเจน โดยใช้ความยาวคลื่นต่างกันตามปัญหาผิว ไม่ต้องแปะยาชา ระหว่างทำรู้สึกเพียงอุ่นเบา ๆ หลังทำสามารถแต่งหน้าและใช้ชีวิตได้ตามปกติครับ
- แสงสีแดง (625 nm) ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย ฟื้นฟูผิว และกระตุ้นการงอกของเส้นผม
- แสงสีเหลือง (592 nm) ช่วยลดบวม แดง หลังทำหัตถการ และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- แสงสีฟ้า (460 nm) ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบของสิว เหมาะกับสิวอักเสบ
- แสงอินฟราเรด (NIR 850 nm) ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำงานร่วมกับแสงสีแดงหรือเหลืองได้ดี
10. ทำ Fotona Laser
Fotona SP Dynamis คือเลเซอร์ที่ใช้พลังงาน 2 ช่วงคลื่น (Er:YAG 2940 nm และ Nd:YAG 1064 nm) ช่วยรักษาปัญหาผิวครอบคลุมทั้งหลุมสิว กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย รอยแดง เส้นเลือดฝอย ไปจนถึงกำจัดขนและกระชับรูขุมขนครับ
ข้อดีคือเจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น พลังงานลงตรงจุด ไม่กระทบเนื้อเยื่อรอบข้าง แนะนำให้ทำต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง ห่างกัน 4-6 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
5 โหมดยอดนิยมของ Fotona
- กรอผิวใส (Er:YAG) ผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ให้เรียบเนียน กระจ่างใส เหมาะกับผิวหมองคล้ำ
- รักษาเส้นเลือดขอด (Nd:YAG) ลดเส้นเลือดฝอย ใบหน้าและขา โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ทิ้งแผล
- กระชับรูขุมขน (Er:YAG) ใช้ความร้อนกระตุ้นคอลลาเจน รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบขึ้น
- จี้ไฝ–ติ่งเนื้อ (Er:YAG) กำจัดไฝ กระเนื้อ สิวอุดตัน ขี้แมลงวัน อย่างแม่นยำ ไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง
- รักษาหลุมสิว (Er:YAG) กระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ฟื้นฟูรอยหลุมสิว ผิวเรียบเนียนขึ้นใน 5-7 วัน
11. Sylfirm X Plus
Sylfirm X Plus เครื่อง RF Microneedling รุ่นใหม่ ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ผ่านปลายเข็มขนาดไมโคร ส่งพลังงานลงลึกสู่ผิวเพื่อฟื้นฟูชั้น Basement Membrane ซึ่งเป็นชั้นสำคัญระหว่างหนังกำพร้าและหนังแท้ ช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดฝ้าเส้นเลือด รอยแดง และป้องกันการเกิดเม็ดสีใหม่
ข้อดีคือ เจ็บน้อย แผลเล็ก ฟื้นตัวไว meได้กับทุกสีผิว ทั้งชายและหญิง สามารถใช้ร่วมกับตัวยาบำรุงเช่น Exosome, Rejuran หรือ Growth Factor โดยแนะนำให้ทำทุก 2-4 สัปดาห์ ต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนานครับ
12. ทำ Pico Plus Laser
Pico Plus เป็นเลเซอร์พลังงานสูงความกว้างพัลส์ 450 ps รวม 2 เทคโนโลยีไว้ในเครื่องเดียว (Q-Switch + Pico Laser) สามารถเลเซอร์รอยสิว รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ หลุมสิว รอยสัก และกระชับรูขุมขน ได้ในเครื่องเดียว
ข้อดีคือรักษาเม็ดสีได้ทุกระดับสี เห็นผลไว ผิวเรียบใสขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก โดยใช้ได้ 4 ความยาวคลื่น 532, 595, 660, 1064 nm ครอบคลุมการรักษาเม็ดสีทุกเฉดสี
โหมดการรักษาหลัก
- Pico Toning (1064 nm) ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ หน้าใส ลดฝ้า กระตื้น
- Fractional Pico (1064 nm) กระตุ้นคอลลาเจน ลดหลุมสิว กระชับรูขุมขน (อาจมีรอยแดงเล็กน้อย)
- Zoom Mode: 1064 nm ลบรอยสักสีเข้ม / 532 nm ลบรอยสักสีแดง
- Gold Mode (595 nm) ลดสิวอักเสบ รอยแดง ฝ้าเส้นเลือด
- Ruby Mode (660 nm) รักษากระแดด กระตื้น เหมาะกับผู้มีผิวเข้ม
13. PicoSure Pro Laser
PicoSure Pro คือเลเซอร์หน้าใสรุ่นล่าสุดที่ใช้เทคโนโลยี Picosecond (10⁻¹² วินาที) ปล่อยพลังงานเร็วในระดับ Picosecond (1 ต่อล้านล้านวินาที) จนทำให้เม็ดสีแตกละเอียดเป็นฝุ่น ร่างกายสามารถกำจัดได้ไว ปลอดภัยกับผิวเข้ม ไม่เสี่ยงด่างขาว ใช้พลังงานต่ำแต่ให้ประสิทธิภาพสูง เห็นผลไวกว่า Q-Switch หลายเท่า
ข้อดีคือ ผิวใสเร็ว แผลน้อย ฟื้นตัวไวกว่าเลเซอร์ทั่วไป หลังทำหน้าไม่ลอก แต่งหน้าได้ภายในวันเดียว แนะนำให้ทำต่อเนื่อง 3-5 ครั้งขึ้นไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน และอยู่ได้นาน
14. Pico Discovery
Pico Discovery เป็นเครื่องเลเซอร์จากประเทศอิตาลีที่ใช้เทคโนโลยี Picosecond Laser ซึ่งปล่อยพลังงานในระดับความเร็วสูงมาก (หน่วยพิโควินาที หรือ 10⁻¹² วินาที) เพื่อ “ระเบิดเม็ดสีเมลานิน” ใต้ผิวให้แตกละเอียดโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง
ข้อดีคือสามารถปรับความยาวคลื่นได้หลายระดับ เช่น 532, 1064 และ 694 นาโนเมตร จึงรักษาได้ครอบคลุมทั้ง ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว รอยสัก และทำ Pico หลุมสิวได้ครับ
หากยังไม่แน่ใจว่ารักษาสิววิธีไหนดี แบบไหนเหมาะกับคนไข้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกทำ เพื่อความปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดครับ
รักษาสิวเร่งด่วน วิธีไหนดีที่สุด ?
หากมีสิวก่อนวันสำคัญ เช่น งานรับปริญญา หรือวันออกงานสำคัญ หมอแนะนำแนวทางรักษาสิวอักเสบแบบเร่งด่วน ที่ช่วยให้สิวยุบเร็วและปลอดภัย ดังนี้ครับ
- ห้ามบีบหรือแกะสิว เพราะจะยิ่งทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น และเสี่ยงทิ้งรอยดำ รอยแดง
- ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนวันละ 2 ครั้ง ใช้น้ำอุ่นและผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน เพื่อลดการระคายเคืองผิว
- ใช้ยาแต้มสิวตามแพทย์แนะนำ เช่น กลุ่ม benzoyl peroxide หรือ retinoid เพื่อช่วยลดการอักเสบ และเร่งให้หัวสิวแห้งเร็ว
- แปะแผ่นดูดสิว (Hydrocolloid Patch) ช่วยดูดซับสิ่งสกปรก ลดอาการอักเสบ และป้องกันการสัมผัสซ้ำ
- ฉีดเมโสหน้าใส (Meso Bright Skin) ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ลดสิวผด ผื่น รอยแดง และปรับให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น เห็นผลใน 3 วันแรก
หากต้องการให้สิวยุบเร็วแบบเห็นผลภายในไม่กี่วัน ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม เช่น การฉีดสิวหรือทำเลเซอร์ลดอักเสบ จะปลอดภัยและเห็นผลกว่าการรักษาเองครับ
เป็นสิวรักษาไม่หายทำยังไงดี ?
หากเป็นสิวเรื้อรัง สิวขึ้นไม่หยุด รักษาเท่าไรก็ไม่หาย หรือกลับมาเป็นซ้ำบ่อย อาจเกิดจาก สาเหตุภายในร่างกาย หรือพฤติกรรมประจำวัน ที่กระตุ้นให้สิวไม่ยุบจริงครับ เช่น
- ใช้ครีมหรือสกินแคร์ที่มีน้ำมัน อุดตันรูขุมขน
- ล้างหน้าไม่สะอาด หรือแต่งหน้าแล้วไม่ล้างออกหมด
- นอนดึก เครียด ฮอร์โมนไม่สมดุล
- ใช้ยารักษาสิวผิดประเภท หรือใช้ต่อเนื่องจนดื้อยา
- ไม่เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าเช็ดหน้าเป็นประจำ
แต่สำหรับใครที่ลองปรับพฤติกรรมแล้ว แต่สิวยังไม่หาย ควรให้แพทย์ประเมินอย่างละเอียด เพราะการรักษาที่ตรงจุดจะช่วยให้สิวหายเร็วและลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำครับ
รักษาสิวกี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล ?
ผลลัพธ์ของการรักษาสิวจะแตกต่างกันในแต่ละคนครับ ขึ้นอยู่กับชนิดของสิว ความรุนแรงของสิว และการตอบสนองของผิวต่อการรักษา
- รักษาสิวอักเสบเล็กน้อย-ปานกลาง เห็นผลใน 2-4 สัปดาห์ เมื่อใช้ยาทา ยารับประทาน หรือทำเลเซอร์ร่วม
- สิวอุดตัน หรือสิวเรื้อรัง อาจใช้เวลา 1-3 เดือน ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
- สิวอักเสบรุนแรง ควรได้รับการรักษาจากแพทย์โดยตรง เช่น ฉีดสิว เลเซอร์ลดอักเสบ หรือเมโสหน้าใส ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบเร็วใน 1-3 วันแรก
ผลลัพธ์ที่เห็นชัดขึ้นอยู่กับการดูแลหลังทำ เช่น การล้างหน้า การนอนพักผ่อน และการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นสิว เช่น แสงแดดหรืออาหารมัน ๆ ครับ
รักษาสิว ลดรอยดำ รอยแดง แบบเร่งด่วน เห็นผลจริง ที่ V Square Clinic
ปรึกษาหมอ ประเมินปัญหาผิว ที่ V Square Clinic
(นพ. สุรนาถ ดีสุวรรณ์ เลข ว.46313)
- ไม่มีเซลส์ ไม่ขายคอร์ส ทุกเคสปรึกษาแพทย์โดยตรง ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
- ใช้ตัวยาแท้ เครื่องเลเซอร์แท้ ได้มาตรฐาน ผ่าน อย. สามารถตรวจสอบได้
- ดูแลโดยแพทย์ประสบการณ์สูงเฉพาะทาง ผ่านการอบรมอัปเดตความรู้ทั้งในไทยและต่างประเทศ
- วิเคราะห์ปัญหาแบบเฉพาะบุคคล เลือกวิธีรักษาตรงจุด เห็นผลชัดเจน
- ใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การประเมิน ไปจนถึงการติดตามผลหลังทำ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวย ดูเป็นธรรมชาติ
- มีเครื่องมือหลายชนิดให้เลือกใช้ตามปัญหาผิว ไม่ต้องจ่ายเกินจำเป็น
- คลินิกมีหลายสาขา เดินทางสะดวกทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
- รีวิวแน่น เคสจริงเยอะ เห็นผลชัดเจน พร้อมให้ข้อมูลอย่างโปร่งใส
สนใจปรึกษาปัญหาผิวฟรี สามารถจองคิวประเมินได้ทุกวัน ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมแพทย์ประสบการณ์สูง
รีวิวรักษาสิว รอยดำสิว ฝ้า กระ ก่อนและหลังทำ ที่ V Square Clinic
รีวิวรักษาสิว รอยดำสิว ฝ้า กระ ก่อนและหลังทำ ไม่มีฟิลเตอร์ ที่ V Square Clinic
ดูแลผิวอย่างไร ไม่ให้สิวกลับมาขึ้นซ้ำ ?
หลังจากรักษาสิวให้หายแล้ว สิ่งสำคัญคือการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้สิวกลับมาเป็นซ้ำอีก ซึ่งหมอแนะนำดังนี้ครับ
- ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน หลีกเลี่ยงโฟมหรือสบู่ที่มีแอลกอฮอล์
- ห้ามบีบ แกะ หรือจับใบหน้า เพื่อลดการอักเสบและป้องกันรอยดำ
- ใช้สกินแคร์และครีมกันแดดที่มีคำว่า “Non-Comedogenic” หรือ “Oil-free”
- หลีกเลี่ยงการนอนดึก ความเครียด ของทอด และของหวานจัด
- ล้างเครื่องสำอางให้สะอาดทุกครั้งก่อนนอน ใช้คลีนซิ่งสูตรอ่อนโยน
- เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าขนหนู และหน้ากากอนามัยเป็นประจำ
- หากเป็นสิวซ้ำบ่อย ควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรับยาหรือทำเลเซอร์ควบคุมต่อมไขมัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรักษาสิว (FAQ)
รอยสิว รอยแดง รอยดำ แก้ยังไงให้หายเร็ว ?
หากต้องการให้รอยสิว รอยแดง รอยดำจางเร็ว สามารถทำเลเซอร์รอยดำ หรือเมโสภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและปลอดภัยครับ
สิวจะหายภายในกี่วัน ?
สิวอักเสบทั่วไปมักยุบใน 5-7 วัน หากได้รับการฉีดสิวหรือทายาที่เหมาะสม ส่วนสิวเรื้อรังหรือสิวฮอร์โมนอาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ถึงเดือน ขึ้นอยู่กับสาเหตุและการดูแลผิว
แต่งหน้าได้ไหมระหว่างรักษาสิว ?
สามารถแต่งหน้าได้ครับ แต่ควรเลือกเครื่องสำอางที่ไม่อุดตันผิว (Non-Comedogenic) และล้างออกให้สะอาดทุกครั้งก่อนนอน เพื่อป้องกันการอุดตันและสิวซ้ำ
เลเซอร์รักษาสิวช่วยได้จริงไหม ?
ได้ครับ เลเซอร์ช่วยฆ่าเชื้อสิว ลดการอักเสบ และกระตุ้นให้รอยดำจางเร็วขึ้น โดยเฉพาะเลเซอร์ V-Beam, Pico, หรือ Bellalux LED ที่ช่วยฟื้นฟูผิวหลังสิวได้ดีมาก
สิวหายได้ไหม ?
สิวสามารถรักษาให้หายได้ครับ แต่ต้องเข้าใจสาเหตุ เช่น ฮอร์โมน ความมันบนใบหน้า หรือการอุดตันของรูขุมขน หากรักษาถูกวิธีและดูแลต่อเนื่อง ผิวจะกลับมาเรียบเนียนได้ แต่หากละเลยหรือหยุดรักษาเร็วเกินไป สิวอาจกลับมาได้อีก
สิวที่หลังหรือหน้าอก ต้องรักษายังไง ?
ควรอาบน้ำทันทีหลังเหงื่อออก ใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำสูตรลดสิวโดยเฉพาะ และหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่แนบผิวแน่นเกินไป หากเป็นมากควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาหรือทำเลเซอร์ร่วมด้วย
สรุป รักษาสิวแบบไหนเห็นผลเร็ว ปลอดภัยที่สุด ?
การรักษาสิวให้เห็นผลเร็ว ต้องดูจากสาเหตุของสิว และเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาเอง การใช้ยา หรือทำหัตถการกับแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะช่วยให้เห็นผลไวขึ้น ปลอดภัย และลดโอกาสเกิดรอยสิวใหม่ครับ
หากสิวไม่หายหรือกลับมาเป็นซ้ำ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวิเคราะห์ต้นเหตุอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาที่ตรงจุด เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนใสอย่างมั่นใจอีกครั้งครับ
อ้างอิง :
- https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1365-2133.1970.tb15759.x
- https://www.doctor.or.th/article/detail/6404


